นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตกรณีในการระบายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี โดยระบุว่า บริษัทเอกชนของไทยได้ให้สิทธิ์ของบริษัทจีนในการเข้ารับซื้อข้าวในการระบายข้าวจำนวน 7.32 ล้านตัน เพื่อหวังหลีกเลี่ยงการประมูลข้าว ซึ่งจะทำให้สามารถซื้อข้าวได้ในราคาที่ถูก โดย นพ.ณรงค์ ยังได้เปิดคลิปวิดีโอเพื่อแสดงให้เห็นว่า อาจมีการนำข้าวที่ประมูลได้นั้นกลับเข้าโครงการรับจำนำข้าวอีกครั้ง
รวมถึงยังแสดงหลักฐานบัญชีทางการเงินซึ่งเป็นการจ่ายเงินในการประมูลข้าวจากภายในประเทศมิใช่จากต่างประเทศ ตามที่รัฐบาลได้ระบุว่า เป็นการระบายข้าวไปยังต่างประเทศ และเปิดคลิปวีดีโอเพื่อแสดงความเชื่อมโยงถึง บริษัทเอกชนที่เข้าประมูลข้าวนั้นมีความใกล้ชิดกับอดีตนายกฯด้วย
ทั้งนี้ นพ.วรงค์ ยังอภิปรายว่า เจ้าของบริษัทเอกชนของไทยที่เข้ารับซื้อข้าวดังกล่าวในอดีตได้เคยถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในการรับซื้อข้าวมาแล้วครั้งหนึ่งในช่วงปี 46-47 ซึ่งรัฐบาลอาจไม่มีประสิทธิภาพในการดูแลการระบายข้าวดังกล่าว
ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายพิชิต ชื่นบาน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้โต้แย้งการอภิปรายของ นพ.วรงค์ ว่ามีกล่าวหาว่า นายกฯอาจมีพฤติกรรมเข้าข่ายการทุจริต ซึ่งในการอภิปรายดังกล่าวมิได้อยู่ในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นอกจากนี้ นางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคเพื่อไทยได้โต้แย้งว่า ข้อมูลที่ นพ.วรงค์ได้แสดงนั้นอาจไม่ถูกต้อง
ขณะที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นการทุจริตจำนำข้าวว่า กรณีที่ระบุว่าโครงการรับจำนำข้าวขัดต่อแนวทางขององค์การการค้าโลกนั้น ไม่เป็นจริง เพราะหลักขององค์การการค้าโลกระบุว่า หากรัฐใด อุดหนุนสินค้าเกษตรโดยใช้เงินของรัฐบาล และมาจำหน่ายในราคาถูก ทำให้การค้าประเทศอื่นได้รับผลกระทบ แต่ข้อมูลราคาข้าวประเทศไทยในตลาดโลกขายในราคาสูงกว่าคู่แข่ง ซึ่งฝ่ายค้านเองก็เคยนำมาแย้งว่า ทำให้ข้าวไทยขายไม่ออก ข้าวค้างสต็อก และหากตรวจสอบจะเห็นว่า ไม่ได้มีเพียงแต่ข้าวไทยที่ราคาสูงขึ้น ข้าวประเทศอื่นปรับราคาสูงขึ้นเช่นกัน นับว่า เป็นการยกระดับราคาข้าวทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่วนประเด็นที่กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวใช้เงินเอื้อโรงสี นายบุญทรงชี้แจงว่า โครงการนาปีนาปรังใช้เงิน 334,000 ล้านบาท เป็นเงินที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธกส. จ่ายให้แก่เกษตกรโดยตรง ส่วนโรงสีนั้นรับสีเพื่อแปรสภาพ โดยมีค่าดำเนินการในการสี เป็นรายได้ของโรงสี คือ ตันละ 500 บาท กับคู่สัญญา และไม่ได้หักเป็นเงินสด แต่หักเป็นข้าวที่สีได้
สำหรับประเด็นการระบายข้าว นายบุญทรง ระบุว่า เป็นความลับทางการค้าเป็นการดำเนินการค้าเสรีแต่มีคู่แข่ง และยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิดแผกจากที่ผ่านมา และไม่มีเบื้องหลัง ส่วนการที่เปิดให้หน่วยงานรัฐบาลของต่างประเทศมาเป็นคู่ค้า ยืนยันว่า หน่วยงานนั้นเป็นของรัฐบาลจริงๆ มีหลักฐาน มีเอกสาร และเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลจีนเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด พร้อมระบุว่า ผู้ขายไม่มีสิทธิไปก้าวก่าย เมื่อผู้ซื้อซื้อไปแล้วจะให้ใครดำเนินการต่อ เป็นสิทธิ์ของผู้ซื้อ
กรณีที่ฝ่านค้านระบุว่า ข้อมูลจำนวนการขึ้นทะเบียนของเกษตรกรเพิ่มขึ้นผิดปกตินั้น จากข้อมูลของ ธกส. พบว่า แต่ละปีตัวเลขจำนวนเกษตกรเคลื่อนไปมาอยู่ตลอด โดยกระทรวงเกษตกรและสหกรณ์จะทำหน้าที่สำรวจขึ้นทะเบียนทั้งหมด เกษตรจึงจะสามารถร่วมโครงการรับจำนำข้าวได้ และ นำเอาใบรับรองมารับจำนำ หรือ ติดต่อโรงสีในโครงการ และชาวนาเองก็มีสิทธิ์เลือกว่า อยากขายให้กับโรงสี หรือขายให้กับพ่อค้าส่งออก
นอกจากนี้ กรณีที่ฝ่ายค้านอ้างว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ไม่ให้เจ้าหน้าที่กระทรวงไปชี้แจงต่อสภา เช่น องค์การคลังสินค้า เจ้าหน้าที่ต่างประเทศที่อยู้ใต้กระทรวงพาณิชย์นั่น นายบุญทรง ชี้แจงว่า หากมีหนังสือมาเชิญไปชี้แจงจะมีการสั่งการ มอบนโยบายซึ่งทุกหน่วยงานต้องให้ความร่วมมือ