ครม.ตั้งกรรมการศึกษาวิธีการออกเสียงทำประชามติ-จัดเวทีเสวนา
โดยนายกรัฐมนตรีให้เหตุผลว่า ต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เพื่อให้ทุกขั้นตอนในการดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายและยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ตั้งคณะทำงาน 1 ชุด เพื่อศึกษาแนวทางการออกเสียงประชามติ และการจัดประชาเสวนา โดยต้องจัดทำรายละเอียด ทั้งชื่อเรื่องที่จะทำประชามติ, เหตุผล และความจำเป็น, สาระคำสัญ รวมถึงประโยชน์ผลได้-ผลเสีย พร้อมกำหนดหน่วยงานเจ้าภาพและร่วมดำเนินการ เพื่อเสนอให้ ครม.พิจารณาอีกครั้ง
ครม.กำชับให้นำเสนอผลการศึกษาในสัปดาห์หน้า ก่อนเดินหน้าตามแนวทางสรุปของพรรคร่วมรัฐบาล คือการทำประชามติตามขั้นตอน / จากนั้นจะจัดทำร่างประกาศการทำประชามติ และกำหนดประเด็นคำถาม เพื่อส่งให้ ครม.พิจารณาในสัปดาห์ถัดไป หรือประมาณต้นเดือนมกราคม ปี 2556 นำเรื่องหารือกับประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 1 เดือน
กกต.จะกำหนดวันทำประชามติ ภายใน 120 วัน หรือ 4 เดือน นับจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา รวมขั้นตอนทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 5 เดือน ดังนั้นการทำประชามติจะอยู่ที่ประมาณเดือนพฤษภาคม
คณะกรรมการกฤษฎีกา รายงานให้ ครม.ทราบถึงเกณฑ์คะแนนเสียงที่จะผ่านประชามติแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ต้องมีผู้ใช้สิทธิ์เกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศ 46 ล้านคน เท่ากับว่าต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์มากกว่า 23 ล้านคน และ ต้องได้เสียงข้างมาก เกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์ คือต้องมีเสียงสนับสนุนมากกว่า 11 ล้าน 5 แสนเสียงขึ้นไป
เบื้องต้นกระทรวงมหาดไทย รายงานคาดการณ์ตัวเลขผู้ออกมาใช้สิทธิ์น่าจะเกิน 23 ล้านคน เพราะการเลือกตั้ง แต่ละครั้งมีผู้มาใช้สิทธิ์ มากกว่าร้อยละ 50 โดยผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 46 ล้านคน ออกมาใช้สิทธิ์ 35 ล้านค้น หรือร้อยละ 75