ก่อนเข้าร่วมประชุมสัมนาใหญ่ประจำปี 2556 ของพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่าคำสั่ง ครม.จัดตั้งคณะทำงานศึกษาการทำประชามติ เป็นเพียงการทบทวนแนวทางการเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้รอบคอบและรอบด้านยิ่งขึ้น แต่ยังคงทำให้ประเทศเสียโอกาสเช่นเดิม
ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ ประธานคณะกรรมการประสานงาน หรือ วิปฝ่ายค้าน กล่าวยืนยันจะติดตามการขับเคลื่อนแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกรณีการตั้งคณะทำงานขึ้นศึกษาแนวทางการทำประชามติ ซึ่งตั้งข้อสังเกตได้ว่า มีเจตนาเปลี่ยนแนวทางการทำประชามติ จากเดิมคือการหาข้อยุติ อาจกลายเป็นการขอคำปรึกษาเท่านั้น เพราะเงื่อนไขการใช้เสียงสนับสนุนน้อยกว่ากัน
สำหรับการสัมนาพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 2 วันนี้(19 ธ.ค.) พรรคประชาธิปัตย์เตรียมสรุปยุทธศาสตร์การทำงานการเมือง โดยเฉพาะในสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยนิติบัญญัติที่จะเปิดในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ โดยเป้าหมายหลักคือการคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญและการหยุดร่างกฎหมายปรองดอง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการออกเสียงประชามติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 ทั้งวงเล็บ 1 และวงเล็บ 2 รวมถึงเนื้อหาตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ปี 2552 มีสาระสำคัญ 3 หลักเกณฑ์ด้วยกัน คือการทำประชามติ เพื่อหาข้อยุติร่วมกัน จะต้องได้เสียงสนับสุนจากผู้มาออกเสียงเป็นจำนวนเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิทั้งหมด และต้องมีจำนวนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาออกเสียง
ส่วนการการออกเสียงประชามติเพื่อให้คำปรึกษา ให้ถือเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงเท่านั้น ส่วน ครม.จะรับฟังแนวทางใดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจในแต่ละเรื่อง แต่หากจะมีการพิจารณาออกกฎหมายประชามติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สาระสำคัญของกฎหมายจะต้องนำบทบัญญัติเดิมนี้มาบังคับใช้โดยอนุโลมก่อน