วงจรปิดได้หลักฐานเพิ่มพบ
กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพเหตุยิงรถข่าวของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีที่จอดอยู่ หน้าบ้านเจ้าพระยาเมื่อกลางดึกคืนวานนี้ ( 25 ม.ค.) และในช่วงเวลาเดียวกันพบชายต้องสงสัยสวมเสื้อดำกางเกงขาสั้นสีขาวเดินออกมาจากพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งตำรวจกำลังเร่งตรวจสอบว่า เป็นผู้ที่ก่อเหตุหรือไม่
นายรุ่งโรจน์ ขาวประเสริฐ พนักงานรักษาความปลอดภัย ให้ข้อมูลว่า ได้ยิงเสียงคล้ายอาวุธปืนในเวลาที่เกิดเหตุ แต่ไม่ได้ออกมาดูในทันที แต่เมื่อเวลาประมาณ 07.00 น.พนักงานมาทำงานพบว่า รถข่าวถูกยิงไป 4 คันที่บริเวณกระจกด้านหน้า และ ด้านข้างรถ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ก่อเหตุได้ยิงเข้าใส่อาคารของบ้านเจ้าพระยา โดยพบหัวกระสุนที่คาดว่า จะเป็นขนาดจุด 22 ด้วย
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยหลังตรวจสอบที่เกิดเหตุว่า ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้งให้พนักงานสอบสวนทำงานอย่างรอบคอบ และ ไม่อยากให้นำไปโยงกับเรื่องที่ เอเอสทีวี กำลังตกเป็นข่าวกับทหาร ซึ่งอาจเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มบุคคลที่ 3 ได้
ตำรวจนครบาลชนะสงครามให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ได้ประสานขอให้ตำรวจมาดูแลความเรียบร้อยทุกคืน แต่ได้มีการยกเลิกไปก่อนเกิดเหตุการณ์นี้เพียง 2-3 คืน
ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่าอาจเป็นฝีมือของคนในกองทัพ ซึ่งเคยไม่พอใจการเสนอข่าวของสื่อในเครือผู้จัดการนั้น พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กำชับไม่ให้กำลังพลตบเท้าแสดงออกใด ๆ ไม่มีนายทหารคนไหนเคลื่อนไหวอีก จึงไม่น่าจะเป็นการก่อเหตุของกลุ่มนายทหารกลุ่มเดิมเพราะกรณีนั้นได้ยุติไปแล้ว พร้อมขอความร่วมมือทุกฝ่ายอย่านำประเด็นมาเชื่อมโยงกัน และยืนยันว่า กองทัพไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับฝ่ายใด แต่จะยืนหยัดกับการทำหน้าที่ด้านความมั่นคง ตามกรอบของกฎหมาย และ คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนมาโดยตลอด
ขณะที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ คาดว่า สาเหตุน่าจะเกิดจากความไม่พอใจในการนำเสนอข่าวของสื่อในเครือผู้จัดการ และ ต้องการจะข่มขู่ หรือ พยายามที่จะปรามจึงเลือกลงมือช่วงตี 3 เพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ ซึ่งคงต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย คือ แจ้งความหาคนทำผิด และ ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดให้เกิดความชัดเจน และ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรก ดังนั้นรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจริงจังในการดำเนินการ