จับตา ปัญหาควบรวม
สถานการณ์ของ โรงเรียนอัสสัมชัญ ทั้งแผนกประถมและมัธยม ที่กลับสู่ภาวะปกติ หลังผ่านช่วงขัดแย้งระหว่างคณะครู ศิษย์เก่ากับ ผู้บริหารโรงเรียน นำไปสู่คำสั่งยุติบทบาท ของภราดาอานันท์ ปรีชาวุฒิ ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ถือเป็นก้าวแรกของข้อเรียกร้องแต่ยังมีความพยายามเดินหน้าต่อไปคือประเด็นการควบรวม แผนกประถมและมัธยม
มูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย ให้เหตุผลต่อความต้องการควบรวมโรงเรียน เพื่อคงเอกลักษณ์ เพิ่มศักยภาพด้วยการบริหารงานที่เป็นหนึ่งเดียว และกฎกระทรวงการขอเปลี่ยนแปลงรายการในตราสารจัดตั้ง ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อเดือนกันยายน 2555 ที่ระบุให้โรงเรียนที่จะควบรวมต้องอยู่ห่างกันไม่เกิน 3 กม. ซึ่งทั้ง 2 แผนก ห่างกันเพียง 1.7 กม. จึงถูกนำมาอ้างอิงในการขอควบรวมโรงเรียน
นายไพฑูรย์ กระโทกนอก หัวหน้าฝ่ายวิชาการ โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม มองว่า กฎหมายโรงเรียนเอกชน ปี 2550 ไม่ระบุ ให้ควบรวม ซึ่งทั้งแผนกประถม และมัธยม ต่างมีใบอนุญาตและตราสารจัดตั้งที่แยกกันอยู่แล้ว กฎหมายระบุเพียงให้ยื่นจัดตั้งตราสารใหม่ของแต่ละแห่งเท่านั้น ขณะที่การควบรวมจะต้องยื่นขอปิดกิจการให้มีผลทางกฎหมาย 1 แห่ง และทุกอย่างต้องรวมกันอยู่ที่ ร.ร.อัสสัมชัญ จึงมีความพยายามให้ครูประถมเซนต์ใบลาออกล่วงหน้า โดยไม่มีคำชี้แจง
ด้านนายชาติชาย นรเศรษฐาภรณ์ อุปนายกสมาคมผู้ปกครองและครู โรงเรียนอัสสัมชัญ กล่าวว่า เรื่องนี้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายทำให้ครูต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ แม้การควบรวมอาจนำไปสู่การบริหารจัดการที่ดีกว่าแบบเดิม แต่ครูกลับถูกมองข้ามที่จะสร้างความเข้าใจ
นายชาญวิทย์ ทับสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ระบุว่า หากนโยบายควบรวมโรงเรียนเกิดผลกระทบทางใดทางหนึ่งต่อคณะครู นักเรียน ผู้ปกครอง การควบรวมจะทำไม่ได้ ขณะเดียวกันเอกสาร หลักฐานทั้งหมดของครูและนักเรียน ก่อนการควบรวมต้องส่งให้ สช.พิจารณา ก่อนวันที่ 1 ก.พ.ของทุกปี ซึ่งในปีนี้ (56)ไม่ทันอย่างแน่นอนแล้ว
สำหรับข้อห่วงใยจากผู้ปกครอง ที่ระบุกรณีการขายที่ดินของโรงเรียนนั้น เลขาธิการ สช.ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เพราะเป็นที่ดินของโรงเรียนทั้ง 2 แห่ง เป็นกรรมสิทธิของมิสซังโรมันคาทอลิคกรุงเทพ และเป็นที่ดินพระราชทาน เพื่อใช้ประโยชน์จึงไม่สามารถขายให้กับผู้หนึ่งผู้ใดได้