คุณภาพของการเข้าชิงออสการ์
แม้เรื่องราวการเปลี่ยนชีวิตเด็กอนาถาให้กลายเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยในภาพยนตร์เรื่อง The Blind Side จะสร้างความประทับใจต่อผู้ชม แต่การที่ผลงานในเชิงประโลมโลกเรื่องนี้กลายเป็น 1 ใน 10 ผลงานที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ กลายเป็นสิ่งค้างคาใจของวงการต่อมาตรฐานผลงานในรอบสุดท้ายของออสการ์ตั้งแต่มีการเพิ่มผู้เข้าชิงเป็นปีละ 10 เรื่องเมื่อ 2 ปีก่อนเป็นต้นมา ซึ่งล่าสุดทางสถาบันศิลปะ และวิทยาการภาพยนตร์ได้มีการเปลี่ยนกฎการเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ที่จำนวนผู้เข้าชิงต่อไปนี้จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของภาพยนตร์ในปีนั้นๆ เป็นหลัก
แต่เดิมสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจะเป็นการชิงชัยกันของผลงานเพียงแค่ 5 เรื่องต่อปี แต่การหลุดโผเข้าชิงของหนังมหาชนอย่าง The Dark Knight ทำให้ออสการ์แก้ปัญหาด้วยการเพิ่มผู้เข้าชิงเป็น 10 เรื่องต่อปี ซึ่งหลายฝ่ายวิจารณ์ว่าการเลือกหนังมาให้ครบตามจำนวนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ศักดิ์ศรีของหนังที่เข้ารอบสุดท้ายต้องลดลงจากปีที่แล้วๆ มา
การได้เสนอชื่อมาจากการลงคะแนนแบบ preferential voting หรือการนับคะแนนตามระดับความชอบของสมาชิกทั้ง 6,000 รายของออสการ์ ซึ่งที่ผ่านมาผลงานที่ได้เข้าชิงจะมีค่าเฉลี่ยการถูกเลือกเป็นผลงานอันดับ 1 โดยผู้โหวตที่ 20.5% ซึ่งตามกฎใหม่ภาพยนตร์ที่จะได้เข้าชิงต้องถูกเลือกเป็นอันดับ 1 โดยผู้โหวตอย่างน้อย 5% เมื่อนำมาตรการใหม่นี้ไปวัดกับผลการโหวตของออสการ์ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาพบว่ามีภาพยนตร์ที่จะผ่านเข้ารอบสุดท้ายมากกว่า 5 เรื่องเกือบทุกปี แต่ไม่มีปีไหนที่มีผลงานผ่านเข้ารอบสุดท้ายถึง 10 เรื่องเหมือนกฎที่ใช้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
ตามกฎใหม่แฟนหนังจะไม่รู้ว่ามีผลงานเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมกี่เรื่องจนกว่าจะถึงวันประกาศผลการเข้าชิง ซึ่งทางออสการ์เชื่อว่าจะทำให้การลุ้นมีความตื่นเต้นมากขึ้น โดย บรูซ เดวิส ผู้บริหารของออสการ์ผู้อยู่เบื้องหลังแนวคิดดังกล่าวเผยว่า ผลงานที่คู่ควรกับการเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของออสการ์ควรจะถูกตัดสินจากคุณภาพเป็นสำคัญ มากกว่าจะนำข้อกำหนดในเชิงปริมาณมาเป็นตัววัด