การประชุมร่วม 5 หน่วยงานระหว่าง ดีเอสไอ ป.ป.ง. สำนักพุทธศาสนา และสถาบันนิติวิทยาศาสตร เพื่อตรวจสอบกรณีพระวิรพล ฉัตติโก หรือ หลวงปู่เณรคำ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง โดยหลังการประชุมได้ข้อสรุป พบว่าพระเณรคำ และพวกเข้าข่ายความผิด 8 ฐานความผิด คือ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นความผิดหลักในการพิจารณารับเป็นคดีพิเศษ การกระทำชำเราเด็กหญิงและพรากผู้เยาว์ การหลีกเลี่ยงภาษีกรณีรถหรู ที่เบื้องต้นมีทั้งหมด 9 คัน การเสพเมถุน การแสดง และใช้วุฒิการศึกษาเป็นเท็จกรณีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตให้ผู้อื่นได้รับอันตราย ฟอกเงิน และสุดท้ายการอวดอ้างอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ซึ่งในช่วงบ่าย ดีเอสไอจะยื่นหนังสือถือผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาแจ้งถึงผลสรุป และแนวทางการดำเนินคดี รวมถึงขอให้ดำเนินการให้พระเณรคำพ้นจากการเป็นพระ
นอกจากนี้ ยังเตรียมประสานให้ประเทศฝรั่งเศสผลักดันให้พระเณรคำกลับประเทศไทย และจะขอให้มีการตรวจดีเอ็นเอ พ่อแม่พระเณรคำ เทียบกับเด็กชายอายุ 11 ขวบที่อ้างว่าเป็นบุตรชายเณรคำ สามารถทราบผลภายใน 1 วัน
ขณะที่สำนักพุทธศาสนา เปิดเผยว่า เมื่อดีเอสไอชี้มูลความผิดชัดเจน และทำหนังสือแจ้งมา ขั้นตอนต่อไป สำนักพุทธศาสนาจะยื่นเรื่องต่อฝ่ายปกครองของสงฆ์ เพื่อขอเพิกถอนเณรคำจากการเป็นพระ และการอนุญาตให้พระสงฆ์เดินทางไปต่างประเทศ
พร้อมกันนี้ นายปิยะ ตรีกาลนนท์ อดีตกัปตันสายการบินแห่งหนึ่งได้เดินทางมาให้ข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ พร้อมยืนยันข้อความที่โพสต์ในสื่อออนไลน์เป็นข้อเท็จจริง และได้ยอมรับว่าการกล่าวอ้างถึงโรงพยาบาลกรุงเทพให้ได้รับความเสียหายมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย โดยบอกว่าเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเมื่อปี 2553 ช่วงเดือนมิถุนายน ถึงตุลาคม ซึ่งพระเณรคำมักจะเช่าเหมาลำ เดินทาง กรุงเทพ-อุบลราชธานี และประเทศมาเลเซีย