ก่อนหน้านี้ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ผู้ครอบครองลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกปี 2014 ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง หลังจากที่ กสทช. ได้ประกาศหลักเกณฑ์และการออกใบอนุญาตให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ.2555 ตามร่างหลักเกณฑ์รายการสำคัญที่เผยแพร่ได้เป็นการทั่วไป หรือ MUST HAVE โดยการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เป็น 1 ใน 7 กีฬาที่อยู่ในข้อบังคับที่จะต้องมีการแพร่ภาพทางฟรีทีวีเท่านั้น
ทั้ง 7 รายการตามหลักเกณฑ์ที่กสทช.ได้ประกาศ ได้แก่ ซีเกมส์ อาเซียนพาราเกมส์ เอเชียนเกมส์ เอเชียนพาราเกมส์ โอลิมปิคเกมส์ พาราลิมปิคเกมส์ และฟุตบอลโลก ล่าสุด พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกสทช.ยืนยันว่า คลื่นความถี่จัดได้ว่าเป็นทรัพยากรของประชาชนทุกคนในประเทศที้่ไม่ต้องเสียเงินรับชมเพิ่ม เเต่อาร์เอส ยังยืนยันว่า จะถ่ายทอดสดเพียง 22 แมตช์จาก 64 แมตช์ในรอบสุดท้าย ซึ่งกสทช.จะต้องดำเนินการตามข้อบังคับ ขั้นนแรกจะมีการเตือน ปรับเป็นเงิน จนถึงการพักใช้ใบอนุญาต และเพิกถอนใบอนุญาตประกอบตามลำดับ
กสทช.ยกตัวอย่างกรณีคดีสหภาพยุโรป กับ ฟีฟ่า หลังจากที่อังกฤษและเบลเยี่ยม ได้ประกาศถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายทุกแมตช์ผ่านทางฟรีทีวีให้กับประชาชนได้รับชม แต่ทางฟีฟ่าอ้างว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ทำให้ต้องฟ้องศาล ก่อนที่ศาลชั้นสูงสุดได้พิจารณาแล้วว่า การดำเนินการดังกล่าวมีประโยชน์ต่อสาธารณะมากกว่าด้านธุรกิจ จึงตัดสินให้ อียู ในนามของประเทศอังกฤษและเบลเยี่ยมชนะคดีในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คดียังอยู่ในชั้นศาลโดยจะมีการยื่นเอกสารประกอบการชี้แจงเพิ่มเติม คาดว่าจะทราบผลก่อนที่การแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2014 จะเริ่มขึ้นอย่างแน่นอน