หลายฝ่ายหวังไทย-กัมพูชา ร่วมพัฒนาพื้นที่รอบ
โรงเรียนใน จ.บุรีรัมย์ ซึ่งติดกับชายแดนไทย-กัมพูชา กลับมาเปิดเรียนตามปกติแล้ว หลังศาลโลกตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร หลายส่วนคลายความกังวล และอยากให้ไทย-กัมพูชา ใช้เวทีพูดคุยแบบทวิภาคในการแบ่งเส้นเขตแดน และพัฒนาพื้นที่รอบตัวปราสาทร่วมกัน เพื่อประโยชน์ 2 ประเทศ
โรงเรียนนิคมสร้างตนเอง 2 ต.จับทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ กลับมาเปิดเรียนตามปกติ หลังจากหยุดการเรียนการสอนมา 2 วัน เพื่อรอฟังคำตัดสินของศาลโลก ครูส่วนใหญ่ บอกว่า รู้สึกโล่งใจ และคลายความกังวล จากก่อนหน้านี้ที่เกรงว่าคำตัดสินที่ออกมาจะนำไปสู่ความขัดแย้งตามแนวชายแดน และเกิดการสู้รบเหมือนปี 2554
ส่วนชาวมหาสารคามที่ติดตามข่าวการตัดสินคดีปราสาทพระวิหารของศาลโลก เห็นว่า ศาลโลกตัดสินอย่างชอบธรรมแล้ว ส่วนพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อยากให้รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ เจรจาพูดคุยเพื่อหาข้อยุติ
ขณะที่นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฎศรีสะเกษ เห็นว่า คำตัดสินไม่ได้ให้น้ำหนักไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะกัมพูชาไม่ได้พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรตามที่ร้องขอ และเห็นว่ารัฐบาลทั้งสองประเทศควรใช้เวทีว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา (เจซี) ในการแบ่งเส้นเขตแดน และพัฒนาพื้นที่รอบตัวปราสาทร่วมกัน
ส่วนประชาชน จ.สตูล เห็นว่า คำตัดสินของศาลโลกมีความคลุมเครือในรายละเอียดว่า ประเทศไทยเสียดินแดนจากกรณีนี้หรือไม่ แต่ก็เห็นด้วยที่จะให้มีการช่วยกันดูแลพื้นที่ดังกล่าวร่วมกัน และอยากเห็นความสมัครสมานสามัคคีของคนทั้งสองประเทศ รวมถึงรัฐบาลมีการพูดคุยกันกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อข้อตกลงในการดูแล ป้องกันไม่ให้มีปัญหาในภายหน้าอีก