กิตติรัตน์ ชี้ลงทุน
ตัวเลขเศรษฐกิจที่เปิดเผยออกมา สะท้อนได้ระดับหนึ่งว่า ไทยอาจพึ่งพาการส่งออกได้ยากขึ้น ภาครัฐจึงมองว่าไทยควรเตรียมพร้อม ด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อย่างการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ส่วนรมว.คลัง คาดจะมีส่วนช่วยให้ จีดีพี ของไทยในอีก 7 ปีข้างหน้า เติบโตร้อยละ 4.5 ต่อปี ขณะตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้ แม้ไม่ถดถอย แต่ไม่ขยายตัว
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การเติบโตที่ลดลงของเศรษฐกิจจะมีความน่าเป็นห่วง ถ้าไทยไม่มีแผนรองรับ ซึ่งภาครัฐได้เตรียมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไว้แล้ว โดยยืนยันว่า จะไม่สร้างภาระหนี้สาธาณะที่สูงเกินร้อยละ 50 เพราะจะเบิกจ่ายเงินตามแผนความคืบหน้า เพื่อความโปร่งใสของการลงทุน นอกจากนี้ ต้องการให้เอกชนเข้ามาร่วมตรวจสอบป้องกันการทุจริตด้วย ส่วนเศรษฐกิจในปีหน้า เชื่อว่า จะดีกว่าปีนี้ เพราะเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณบวก ทั้งยุโรป, ญี่ปุ่น, จีน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านของไทย แต่ก็ต้องจับตาดูความคืบหน้าของการลงทุนภาครัฐด้วย
สำหรับลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นห่วงเรื่องความเหมาะสม และประสิทธิภาพแต่ละโครงการ ขณะที่ นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานสภาสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่ใช่เป็นปัญหาหลักในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทย เช่นเดียวกับนายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยทีดีอาร์ไอ ระบุว่า ต้องการให้ภาครัฐเปิดเผยข้อมูลอย่างละเอียด
ขณะที่สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยว่า รัฐบาลพยายามผลักดันโครงการลงทุน แต่ก็ยังล่าช้า ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนตุลาคมลดลง ซึ่งความเชื่อมั่นที่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากการชุมนุมคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม และค่าครองชีพที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวเหลือ 31.58 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แสดงว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยไม่ค่อยดี