นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า จากการที่นายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำกลุ่มคปท.และน.ส.อัญชลี ไพรีรักษ์ แกนกลุ่มกปปส.ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่ง บุกเข้ามาบริเวณภายในตัวอาคารของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ห้ามปรามแล้ว จนเกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาอาคาร และได้เข้ามาบริเวณชั้น1 และชั้น 2 ซึ่งได้รื้อค้นทรัพย์สินบางส่วน
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของทางราชการสูญหาย จำนวน 2 เครื่อง และไมโครโฟนของนักข่าวช่อง 3 ซึ่งวางไว้ได้สูญหายไป อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้บันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวทั้งหมด และเตรียมที่จะจะดำเนินคดีกับผู้บุกรุกสถานที่ราชการ และลักทรัพย์ของทางราชการ โดยเฉพาะแกนนำ ทั้งนี้กรณีดังกล่าวเป็นเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องกับผู้ชุมนุม ดีเอสไอจึงจะไม่แจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจ แต่จะรวมเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษอยู่แล้ว
ส่วนการดำเนินการเอาผิดกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมกปปส. 38 คน ที่ประชุมดีเอสไอได้แยกสำนวนสอบสวนเอาผิดเป็นรายบุคคลตามพฤติกรรม พร้อมเรียกดูบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน จากทุกบัญชีทุกธนาคารมาเพื่อวิเคราะห์ความเชื่อมโยงทางการเงินไปกับบุคคลอื่น และกลุ่มทุนที่สนับสนุน เพื่อขยายผลการสอบสวนอีกต่อไป
ด้านนายสาธิต ปิตุเดชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งที่ถูกอายัดบัญชี กล่าวว่า ดีเอสไอปฏิบัติหน้าที่เกินขอบเขตของกฎหมายและรวบรัดเกินไป และเห็นว่าดีเอสไอมีอำนาจเฉพาะคดีพิเศษเท่านั้น โดยจะต้องทำการสืบสวนก่อนว่ามีการทำผิดหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ จะทำหนังสือสอบถามธนาคารที่ใช้บริการในวันนี้ เพื่อนำมาเป็นหลักฐานเอาผิดกับอธิบดีดีเอสไอ ในกรณีที่ปฏิบัติหน้าที่มิชอบกระทำโดยไม่มีอำนาจ ซึ่งจะดำเนินการไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลปกครองด้วย
ทั้งนี้ ในพรรคประชาธิปัตย์มีอดีตส.ส.ของพรรคอีก 3 คนที่ถูกอายัดบัญชี คือ นายบุญยอด สุขถิ่นไทย นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ และน.ส.จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี