สถานการณ์ในซูดานใต้ ส่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ฝ่ายหนึ่งคือรัฐบาล ซึ่งนำโดยประธานาธิบดีซัลวา กีอีร์ โดยล่าสุดประธานาธิบดีกีอีร์แถลงการณ์ว่า สามารถยึดคืนเมืองสำคัญที่ถูกฝ่ายกบฏยึดไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้ประธานาธิบดีกีอีร์มาจากเชื้อชาติดิงกา เผ่าใหญ่ที่สุดในซูดานใต้
ชาวซูดานทางภาคใต้ได้มีประชามติแยกประเทศจากซูดานเมื่อปี 2011 สำหรับการจับอาวุธต่อสู้กันเองครั้งนี้ปะทุขึ้นเมื่อ 10 วันที่แล้ว ซึ่งก็เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีกีอีร์สั่งปลดรองประธานาธิบดีรีเอค มาชาร์ โดยอดีตรองประธานาธิบดีมาชาร์นั้นมาจากเชื้อชาตินูเออร์ เผ่าใหญ่อันดับ 2 ในซูดานใต้ ทั้งนี้การสู้รบได้ลุกลามออกไปอย่างรวดเร็วบนเส้นแบ่งทางเชื้อชาติ คือระหว่างชาวเผ่าดิงกาและชาวเผ่านูเออร์
แค่ 10 วันของการสู้รบได้มีประชาชนชาวซูดานใต้ต้องพลัดจากที่อยู่อาศัยแล้วอย่างน้อย 80,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่พยายามหนีเข้ามาหลบภัยในสถานที่ของสหประชาชาติ ยิ่งกว่านี้สหประชาชาติยังเปิดเผยด้วยว่า พบหลุมศพขนาดใหญ่หลายแห่งที่ชี้ว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และ 10 วันที่ผ่านมานั้นไม่ใช่มีผู้เสียชีวิตแค่หลักร้อย แต่หลายพันคน อย่างไรก็ตาม ทั้งประธานาธิบดีกีอีร์และอดีตรองประธานาธิบดีมาชาร์ยืนยันว่าไม่ใช่ปัญหาทางเชื้อชาติ แต่เป็นเรื่องการเมือง
อดีตรองประธานาธิบดีมาชาร์อ้างว่า ไม่ได้ต้องการยึดอำนาจแต่เรียกร้องให้ประธานาธิบดีกีอีร์ลาออก เพื่อจะได้ปฏิรูปการเมืองซูดานใต้ให้เป็นประชาธิปไตย โดยล่าสุด คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติให้เพิ่มกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปในซูดานใต้ อีก 5,000 นาย ซึ่งเมื่อรวมกับจำนวนที่ประจำการอยู่แล้ว ก็จะเป็น 12,500 นาย ทั้งนี้สหประชาชาติเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้ามาเจรจากัน