วันนี้ ( 19 เม.ย.2559 ) ดร.ภาสกร ปนานนท์ นักวิชาการด้านแผ่นดินไหว จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า ในรอบ 7 วันที่ผ่านมาทั่วโลกเกิดแผ่นดินไหวขึ้นหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะอยู่ตามแนวรอยต่อเปลือกโลก ส่วนแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศเอกวาดอร์ ที่เกิดห่างกันเพียงไม่กี่วัน ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เพราะทั้งสองจุดอยู่ไกลกันกว่า 15,000 กิโลเมตร ทำให้การส่งผ่านพลังงานไปถึงกันมีน้อย แผ่นดินไหวที่จะกระตุ้นให้อีกจุดเกิดแผ่นดินไหวได้ส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะห่างกันไม่เกิน 100 กิโลเมตร
สำหรับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนประชาชนจำนวนมาก ดร.อมร พิมานมาศ นักวิจัยชุดโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า เพราะโครงสร้างบ้านเป็นไม้และกระเบื้องที่ใช้มุงหลังคามีน้ำหนักมาก เพราะต้องป้องกันลมพายุที่มีกำลังแรง ทำให้เมื่อเกิดแผ่นดินไหวจึงพังถล่มได้ง่าย ปัจจุบันอาคารในประเทศญี่ปุ่นที่สามารถรองรับแผ่นดินไหวมีอยู่ประมาณร้อยละ 75 แต่รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายว่าในอนาคตจะเพิ่มจำนวนอาคารที่รองรับแผ่นดินไหวให้ได้ร้อยละ 90
สำหรับ ประเทศไทยควรมีการปรับปรุงกฏหมาย โดยกำหนดให้อาคารที่มีความสูงต่ำกว่า 15 เมตร ต้องรองรับแผ่นดินไหวได้และกำหนดให้อาคารต่ำกว่า 3 ชั้น ต้องมีวิศวกรออกแบบและควบคุมการก่อส้ราง และออกมาตรการจูงใจให้อาคารเก่าต้องปรับปรุงเสริมกำลังอาคารเพื่อป้องกันแผ่นดินไหวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ด้าน ศ.เป็นหนึ่ง วานิชชัย หัวหน้าชุดโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหว กล่าวว่า ไทยมีความเป็นไปได้ที่จะเจอเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงแบบญี่ปุ่นได้ เพราะมีถึง 14 รอยเลื่อนมีพลังที่มองเห็นได้ชัดเจน และรอยเลื่อนที่มองไม่เห็นอีก แต่โอกาสที่ไทยที่จะเกิดเหตุแผ่นดินไหวน้อยกว่าญี่ปุ่นมาก แม้ว่าจะเกิดยากกว่า แต่ไทยจำเป็นต้องออกแบบอาคารต้านทานแรงสั่นสะเทือน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย