ลูกชายคนโต ของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม จดทะเบียนบริษัทในบ้านพักทหาร ค่ายเอกาทศรถ จ.พิษณุโลก ตั้งแต่ปี 2555 ถ้านับเวลาปัจจุบันที่ พล.อ.ปรีชา เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม จะไปเกี่ยวข้องกับระเบียบฉบับนี้ที่ว่าด้วยที่พักอาศัย ข้อ 18.14 เขียนไว้ชัดเจนว่า ห้ามประกอบการค้าใดๆ ในที่พักอาศัย ซึ่งทางราชการมิได้จัดไว้ หรือผู้ปกครองอาคารที่พักอาศัยแต่อาจจะมีข้อโต้แย้งบ้านที่ตั้งบริษัทอยู่ในกองทัพภาคที่ 3 สังกัดกองทัพ และช่วงที่ตั้งบริษัท พล.อ.ปรีชา เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ต้องใช้ระบียบกองทัพบก ต้องอ้างอิงจากระเบียบฉบับนี้ ซึ่งไม่ข้อห้ามการประกอบการค้าเหมือนระเบียบของกระทรวงกลาโหม มีข้อห้ามอื่นๆ เช่น ห้ามสวมสิทธิ ห้ามทำผิดระเบียบ ห้ามสร้างความเดือดร้อนรำคาญ
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกด้านกฎหมาย ระบุว่า ไม่มีอะไรห้าม เหมือนกับบ้านเช่าที่เอาไปตั้งบริษัท แต่เมื่อถามว่าเหมาะสมหรือไม่ นายวิษณุไม่ตอบประเด็นนี้
ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า "ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำอะไร เขาอาจจะทำอะไรผมก็ไม่รู้ ต้องไปดูรายละเอียด แต่ว่าการเอาบ้านพักทหารไปคงไม่ใช่มั้ง ผมก็ไม่รู้เขาอาจจะอยู่กับคุณพ่อเขาหรืออะไร หรือเอาที่นั่นเป็นที่ทำงานเล็ก ๆ น้อยๆ มั้ง บริษัทที่ไปตั้งในค่ายทหารคงไม่มี"
ประเด็นการตั้งบริษัทในค่ายทหารเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากหลายข้อสงสัยที่มีต่อ พล.อ.ปรีชา เนื่องจากบริษัทของลูกชายรับงานในกองทัพภาคที่ 3 หลายโครงการซึ่งถูกตั้งคำถามว่าเหมาะสมหรือไม่ ก่อนหน้านี้ภริยาของ พล.อ.ปรีชา ใช้เครื่องบินของกองทัพอากาศเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อสร้างฝาย และชื่อฝายเป็นชื่อภริยาของพล.อ.ปรีชา
เมื่อวานนี้องค์การต่อต้านคอรัปชั่นจึงออกแถลงการณ์ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามกฎหมายและเรียกร้องรัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะการเอื้อประโยชน์ต่อคนใกล้ชิด ไม่ว่าในทางกฎหมายเรื่องนี้จะผิดหรือไม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่เป็นมรสุมทางการเมืองลูกใหญ่กระทบต่อภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ และครอบครัวจันทร์โอชาไปแล้ว ไม่เช่นนั้น พล.อ.ปรีชา คงไม่เอ่ยปากขอโทษพี่ชาย