รัฐฟลอริดา มีคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง หรือ electoral vote จำนวน 29 เสียง ทำให้สื่ออเมริกันพากันวิเคราะห์ว่า ผู้ที่จะชนะในรัฐนี้เท่านั้นจึงจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนต่อไป จึงไม่แปลกที่รัฐฟลอริดา จะเป็นรัฐ "เนื้อหอม" ที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งนายโดนัลด์ ทรัมพ์และนางฮิลลารี คลินตัน ต่างก็มาหาเสียงที่รัฐนี้ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่มาช่วยหาเสียงให้นางคลินตันด้วย
นายโอบามาเดินทางไปหาเสียงที่เมืองคิสซิมมี รัฐฟลอริดา ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ในรอบ 4 วัน ที่ผู้นำสหรัฐอเมริกาเดินทางมาช่วยนางคลินตันหาเสียงในรัฐนี้ โดยโอบามาได้เรียกร้องให้ชาวอเมริกันออกมาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง พร้อมทั้งแสดงความเชื่อมั่นว่านางฮิลลารี คลินตัน จะสามารถคว้าชัยชนะและได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน หากได้รับชัยชนะในรัฐฟลอริดา
ขณะที่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานางฮิลลารี คลินตัน เดินทางมาหาเสียงที่เมืองเพมโบรค ไพน์ ซึ่งถือเป็นการหาเสียงในรัฐฟลอริดาเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 1 สัปดาห์ ขณะที่คู่แข่งอย่างนายทรัมพ์ก็ไม่ยอมน้อยหน้า เดินทางไปหาเสียงในเมืองแทมปาของรัฐฟลอริดาในวันเดียวกัน
รัฐฟลอริดามีประชากรประมาณ 20 ล้านคน โดยมีชาวอเมริกันผิวขาวเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุด รองลงมา คือ กลุ่มชาวอเมริกันเชื้อสายละตินที่มีอยู่ประมาณ 5 ล้านคน โดยประชากรประมาณ 1.5 ล้านคนเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายคิวบา
ขณะที่ผลการสำรวจคะแนนนิยมครั้งล่าสุดพบว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายคิวบาหันมาเทใจให้กับนายทรัมพ์ เนื่องจากไม่พอใจกรณีที่นายโอบามาไม่สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและคิวบาได้อย่างเต็มที่ ตามที่ได้เคยประกาศเอาไว้ โดยพบว่า คะแนนนิยมจากชาวอเมริกันเชื้อสายคิวบาที่มีให้กับนายทรัมพ์เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 52 จากเดิมที่มีอยู่เพียงร้อยละ 33 เท่านั้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สื่ออเมริกันวิเคราะห์ว่า คนกลุ่มนี้ อาจทำให้นายทรัมพ์สามารถคว้าชัยชนะในรัฐฟลอริดาและก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำสหรัฐอเมริกาได้ในที่สุด
จากการสอบถามชาวอเมริกันเชื้อสายคิวบาในย่านลิตเติล ฮาวานา พบว่า หลายคนไม่ได้ชื่นชอบทั้งนางคลินตันและนายทรัมพ์ แต่ถ้าจะต้องเลือกก็จะเลือกนายทรัมพ์เนื่องจากเชื่อมั่นในนโยบายเศรษฐกิจของทรัมพ์ว่าจะสร้างงานให้คนอเมริกันและพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นได้