ความสำเร็จของ The Great Wall หนังร่วมทุนสร้างระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เปิดตัวคว้าแชมป์บ็อกออฟฟิศในเมืองจีนด้วยรายได้ 67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ช่วงเดียวกับที่แอนิเมะสุดฮิตของญี่ปุ่น Your Name ทำสถิติเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นทำเงินสูงสุดในแดนมังกรด้วยรายได้ 78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บ่งบอกความนิยมของแฟนหนังในจีนต่อภาพยนตร์ดังจากต่างประเทศ นำไปสู่การเรียกร้องให้มีการเพิ่มโควต้าการฉายหนังต่างประเทศ เนื่องจากข้อตกลงเดิมที่นายสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนเคยทำร่วมกับสหรัฐฯ เมื่อ 5 ปีก่อน จะถึงกำหนดการพิจารณาครั้งใหม่ในปีหน้า
ตลอด 5 ปีนับตั้งแต่จีนเพิ่มโควต้าฉายหนังต่างประเทศจากปีละ 20 เรื่องเป็น 34 เรื่อง จีนก็ก้าวขึ้นมาเป็นตลาดการฉายภาพยนตร์อันดับ 2 ของโลก จากเดิมที่เคยมีส่วนแบ่งการจำหน่ายตั๋วหนังทั่วโลกเพียงร้อยละ 7.5 ในปี 2012 ปัจจุบันจีนมีส่วนแบ่งการจำหน่ายตั๋วหนังทั่วโลกเป็นร้อยละ 18.8 และคาดว่าจะทำเงินแซงหน้าสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมการฉายหนังของจีนในปีนี้ต้องพบอุปสรรค เมื่อยอดจำหน่ายตั๋วตลอด 11 เดือนที่ผ่านมา ทำเงินได้ไม่ถึง 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้รายได้จากการฉายหนังปีนี้เพิ่มจากปีก่อนเพียงร้อยละ 4.4 แตกต่างจากปีก่อนๆ ที่เคยเติบโตถึงร้อยละ 50 นับเป็นการขยายตัวที่น้อยที่สุดในรอบทศวรรษ ผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐมองว่าวิธีแก้ปัญหาการอิ่มตัวในอุตสาหกรรมการฉายหนังในจีน คือการเพิ่มโควต้าหนังต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นความสนใจแฟนหนังให้เพิ่มมากขึ้น
อุปสรรคของการเพิ่มโควต้าหนังต่างประเทศในจีน มีทั้งจากทัศนคติของรัฐบาลแดนมังกรที่ไม่ต้องการให้สื่อวัฒนธรรมของตะวันตก มีอิทธิพลต่อประชาชนมากเกินไป และต้องการปกป้องอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของชาติ จากการแข่งขันกับฮอลลีวูด
อีกปัจจัยสำคัญคือความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในยุคที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิปดี ซึ่งหลายคนกังวลว่าท่าทีที่แข็งกร้าวของทรัมป์ต่อประเทศจีน อาจส่งผลต่อการเจรจาเพิ่มโควต้าการฉายหนังต่างประเทศในเมืองจีนก็เป็นได้ อีกข้อตกลงที่สหรัฐฯ อาจจะอยากขอเพิ่ม คือส่วนแบ่งรายได้จากการฉายหนังฮอลลีวูดในเมืองจีน ที่ค่ายหนังสหรัฐฯ ได้รับส่วนแบ่งกลับคืนเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น