วันที่ 12 มิ.ย. 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วิถีการกินของชาวกัมพูชาแม้จะคล้ายกับประเทศไทย แต่ก็มีความต่างอยู่ไม่น้อย เช่น "นุมกรั๊วะ" อาหารคาวที่รับประทานกันทั่วไป แม้จะมีวิธีทำโดยการหยอดแล้วแคะแทบไม่ต่างจากขนมครก แต่ที่ไม่เหมือนคือวัตถุดิบซึ่งใช้แป้งผสมข้าวสุกใส่กะทิ ไม่ต้องปรุงรสและไม่มีเครื่องโรยหน้า เพราะต้องรับประทานกับน้ำจิ้มที่ทำจากพริกเหลืองปั่นกับน้ำส้มสายชู ส่วนที่มาของชื่ออาหารเนื่องจากเวลาหยอดแป้งลงเบ้าจะได้ยินเสียงดังกรั๊วะๆ ชาวขะแมร์เลยตั้งชื่อว่านุมกรั๊วะ โดยเป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองกัมพูชา ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทร์เกษมนำมาสาธิตให้คนไทยลิ้มลองในงาน "มะโฮปขแมร์" วันอาหารกัมพูชา ที่ไม่เพียงเรียนรู้วัฒนธรรมการกินของเพื่อนบ้าน หากวิธีการปรุงที่เรียบง่าย เน้นรสชาติไม่จัดจ้าน รับประทานไม่ยาก ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิตชาวขแมร์
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า อีกเมนูขแมร์ที่ยืนยันว่าดีต่อสุขภาพและทำง่ายที่สุด คือ "สะโง จรัวะ กราว ชนัง" หรือ แกงนอกหม้อ ที่ใช้เนื้อปลาย่าง ผักแค่ หอมใหญ่ มะเขือเทศ ผักชีฝรั่ง หรือจะเลือกใส่ผักอื่นตามใจชอบก็ได้แต่ขอให้เป็นผักที่สุกง่าย และมะม่วงดิบซอยให้รสเปรี้ยว ใส่รวมกันในชามแล้วเทน้ำร้อนจัดลงไปก็จะได้สะโง จรัวะ กราว ชนัง ส่วนหนึ่งเพราะวิถีชีวิตที่เรียบง่ายในสังคมเกษตรกรรม อาหารหลายเมนูของชาวกัมพูชาจึงนิยมนำพืชผักมาประกอบอาหาร ไม่เน้นเครื่องปรุง อาศัยรสชาติจากผักสดเป็นหลัก
ส่วนขนมที่นิยมเสริฟกับชา กาแฟ แนะนำกล้วยปิ้ง "เจ้กบัดด่อมบอง" ของดีจากเมืองพระตะบอง ซึ่งต้องใช้ความละเมียดละไมของผู้ทำ เพราะต้องฝานกล้วยให้บางก่อนนำมาผึ่งแดด แล้วจึงนำมาย่างให้เหลืองด้วยเตาถ่าน โดยความอร่อยของ เจ้กบัดด่อมบองอยู่ที่รสเปรี้ยวอมหวาน รสชาติเฉพาะของเจ้กเซียมหรือกล้วยหอมส้ม ที่เมืองไทยนิยมปลูกมากในพื้นที่ภาคอีสานเช่นกัน
ด้วยวิธีการทำที่ง่ายและรักษารสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบไว้ให้ได้มากที่สุดคือเสน่ห์ของอาหารกัมพูชา สำหรับผู้ที่สนใจอยากลิ้มชิมรสอาหารขแมร์ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมชม ชิม และเรียนรู้วัฒนธรรมเพื่อนบ้านกัมพูชาผ่านอาหาร โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในงานมะโฮปขแมร์หรืองานวันอาหารกัมพูชา ลานสวนหย่อมในตลาดนัดสวนจตุจักรตั้งแต่เวลา 11.00-16.00 น. วันที่ 13 มิ.ย. 2558