วันนี้ (11 ก.ย. 60) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานการแถลงข่าวเรื่อง “นักศึกษาแพทย์ถูกกล่าวหาการทำร้ายสุนัข และเรียกร้องเงินประกัน” ณ ห้องประชุมคณะฯ ตึกอำนวยการ ชั้น 2 รพ.ศิริราช จากการประชุมคณะกรรมการประจำคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล วาระพิเศษ วันที่ 11 กันยายน 2560 เวลา 11.30-13.00 น. มีมติ ดังนี้
1. ให้นักศึกษาแพทย์ที่ถูกกล่าวหา พักการศึกษาตั้งแต่บัดนี้จนกว่าผลการตัดสินการดำเนินการตามข้อ 2, 3 และ 4 จะสิ้นสุด
2. ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางจริยธรรมกับนักศึกษาดังกล่าว หากประเมินแล้วมีผลตัดสินว่ามีความผิดทางจริยธรรมจริง ทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลจะดำเนินการส่งเรื่องไปยังมหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อดำเนินการต่อไป ตามเกณฑ์ความผิดด้านจริยธรรม
3. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลจะเฝ้าติดตามการรักษาปัญหาด้านจิตใจอย่างใกล้ชิด หากการเจ็บป่วยทางด้านจิตใจได้รับการประเมินว่า มีความรุนแรงขัดต่อการศึกษาด้านแพทยศาสตร์ ก็จะเสนอมหาวิทยาลัยมหิดลพิจารณาให้พ้นสภาพนักศึกษา
4. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลจะเฝ้าติดตามความคืบหน้าของกระบวนการยุติธรรม หากมีผลทางอาญาเป็นที่สิ้นสุดและมีความผิด ก็จะเสนอมหาวิทยาลัยมหิดลให้พิจารณาให้พ้นสภาพการเป็นนักศึกษา
ทั้งนี้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลจะดำเนินการด้วยความละเอียด รอบคอบ แก่ทุกฝ่าย โดยยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม และหลักกระบวนการยุติธรรม
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้คณะแพทยศาสตร์ศิริราชได้ทำ 3 ส่วนคู่ขนานกันไปตามที่มีมติไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งออกมาว่าไม่เหมาะสมเป็นแพทย์ จะนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยทันที ไม่ว่าจะเป็น ข้อ 1-3 ตามที่มีมติ และอยากให้สังคมมั่นใจว่านักศึกษาแพทย์ที่จบจากที่นี่ต้องผ่านการตรวจสอบ จะต้องเป็นแพทย์ที่ดีในอนาคต และคงไม่ปล่อยให้คนที่ไม่เหมาะสมออกไปเป็นแพทย์
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตรวจเจออาการทางจิตเมื่อไหร่ คณบดีบอกว่า พบอาการย้ำคิดย้ำทำในช่วงการเรียนชั้นปี 3 และรายละเอียดไม่สามารถแจ้งอาการผู้ป่วย และย้ำว่าไม่ได้มีผลต่อวิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่ง ขอไม่ให้รายละเอียดเนื่องจากเป็นความลับ แต่หากเป็นขั้นตอนการสอบสวนจะเปิดเผย
ส่วนปี 6 เริ่มพบตอนเดือน เม.ย. และข้อดีนักศึกษาให้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา และเหตุการณ์บางอย่างอาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่สื่อนำเสนอไป และข้อเท็จจริงอยู่กับกระบวนการทางกฎหมาย
ทั้งนี้ นักศึกษาแพทย์คนนี้ยังคิดว่าตัวเองยังสามารถกลับมาศึกษาได้ แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เขาไม่อยากให้วิชาชีพแพทย์เสียความเชื่อมั่นจากประชาชน หากผลเป็นยังไงก็พร้อมจะยอมรับ