หญิงค้าบริการคนหนึ่ง เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสว่า เกือบ 20 ปีแล้วที่เธอต้องพกยาต้านไวรัสติดตัว เธอยอมรับว่ายารักษาตัวคล้ายเป็นเพื่อนสนิท และเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงการไม่ได้รับยาต่อเนื่อง มีผลต่ออาการป่วยและชีวิต เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเธอป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือ เอดส์
งานที่เคยมีทำหายไปหลังจากคนรอบข้างรู้ว่าติดเชื้อเอชไอวี แต่ปากท้องของลูก 3 คน รวมถึงพ่อและแม่ที่เข้าสู่วัยชราเป็นสิ่งที่ต้องเลี้ยงดู เธอจึงตัดสินใจก้าวเข้าสู่อาชีพค้าประเวณี ตามคำชักชวนของเพื่อน โดยเดินทางออกจากบ้านเกิดที่จังหวัดกำแพงเพชร มาจังหวัดสมุทรสาคร
“ติดเชื้อนี้มาจากแฟน ตอนนี้แฟนเสียชีวิตไปแล้ว พอเราเป็นแล้วก็ไม่มีงานทำ อยู่บ้านเฉยๆ เขาชวนเรามา เราก็เลยมา เพราะเราก็ผ่านการมีครอบครัวแล้ว ซึ่งเราป้องกัน เราไม่ได้รับเชื้อเพิ่ม เพราะใส่ถุงยางทุกครั้ง”
เธอยึดอาชีพนี้มาตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี แต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่มั่นใจ เพราะตลอดระยะเวลาทำงาน ลูกค้าเหล่านี้ จะได้รับเชื้อเอดส์ ต่อจากเธอหรือไม่ เพราะมีบ่อยครั้ง ที่เธอแนะนำ ให้ลูกค้า ป้องกันแต่กลับถูกปฏิเสธ
“ก็ถามลูกค้านะว่าคุณไม่กลัวโรคเหรอ เขาบอกเขาไม่กลัว เราก็บอกว่าใส่เถอะเรากลัว เขาก็ไม่ยอมใส่ เราก็บอกว่าถ้าไม่ยอมใส่ก็ออกไป ลูกค้าเมาจะไม่ยอมใส่ถุงยาง บางคนบอกจะให้ค่าจ้าง 500 บาทเพื่อไม่ให้ใส่ถุง เราก็บอกว่า พันนึง หมื่นนึงก็ไม่เอา”
หญิงค้าบริการคนนี้ กล่าวว่า เธอไม่สามารถบอกลูกค้านักเที่ยวได้ว่าเธอเป็นโรคอะไร เพราะลูกค้า คือส่วนหนึ่งของรายได้หลักเลี้ยงตัวเองและครอบครัว เธอทำได้เพียงการย้ำเตือนให้ชายที่ใช้บริการป้องกันตัวเองและไม่รับเชื้อด้วยการใส่ถุงยางอนามัย