เมื่อวานนี้ (10 ม.ค.2561) พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังการควบคุมตัว น.ส.ณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ ในฐานะผู้ต้องหาตามหมายจับ ที่เปิดบัญชีธนาคารถึง 9 บัญชี จาก 7 ธนาคาร และพบการโอนเงินเข้าออกที่ผิดปกติว่า นอกจากบัญชีที่มีความผิดปกติของ น.ส.ณิชา แล้ว ยังมีการเปิดบัญชีรับโอนเงินจากผู้เสียหายอีก 2 บัญชี ซึ่งอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบว่าบุคคลทั้ง 2 อยู่ในภูมิลำเนาใด และอยู่ในแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ หากไม่เกี่ยวข้อง ขอให้แสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยการไปพบตำรวจ
สำหรับกรณีการดำเนินคดีกับ น.ส.ณิชา นั้นเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และต้องพิสูจน์ว่า น.ส.ณิชา มีส่วนรู้เห็นหรือไม่ เพราะขณะนี้สถานะยังตกเป็นผู้ต้องหา ส่วนการประสานขอข้อมูลจากธนาคารที่มีชื่อ น.ส.ณิชา เปิดบัญชี พบว่าธนาคารบางแห่งยังไม่ให้ความร่วมมือ โดยอ้างว่าต้องขออนุมัติจากสำนักงานใหญ่ จึงประสานไปยังสำนักงานใหญ่ เพื่อขอข้อมูลด้วยตนเองหลายแห่ง
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า คดีนี้อยู่ระหว่างประสานขอข้อมูลจากธนาคารและสอบปากคำเจ้าหน้าที่ธนาคาร เกี่ยวกับรายละเอียดการเปิดบัญชี รวมทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดมายืนยันอีกชั้นหนึ่ง เพื่อนำข้อมูลมาประกอบสำนวนการสอบสวนเพื่อมีความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการ ส่วนกรณีที่มีผู้นำบัตรประชาชนของ น.ส.ณิชา ไปเปิดบัญชี กองบังคับการปราบปราบได้รับคำร้องทุกข์ไว้แล้ว และได้แยกสำนวนการสอบสวนออกเป็นอีกคดีหนึ่ง โดยจะรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินการสืบสวนสอบสวน ติดตามกลุ่มผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด
ด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และคณะทำงานศูนย์ป้องกันและปราบปรามฉ้อโกงฯ หารือร่วมกับนายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการ กสทช. และตัวแทนจากค่ายบริษัทมือถือ เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ เบื้องต้น มีการรวบรวมรายชื่อเบอร์โทรศัพท์ที่ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ นำมาก่อเหตุกว่า 30 รายชื่อ เพื่อให้ทาง กสทช.และผู้ให้บริการโทรศัพท์ ทำการบล็อกเลขหมายดังกล่าวเป็นการตัดวงจรในการก่อเหตุ
นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือทาง กสทช.และผู้ให้บริการเครือข่าย ส่งเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีมาร่วมตรวจสอบอุปกรณ์ที่ทางตำรวจได้ตรวจยึดได้ เพื่อประกอบในการทำสำนวนส่งฟ้อง