วันนี้ (12 ม.ค.2561) นายชัยยุทธ คำคุณ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการควบคุมทางศุลกากร พร้อมด้วยพล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และนายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สายปฏิบัติการ 1 ร่วมกันแถลงข่าวการตรวจยึดงาช้าง จำนวน 3 กิ่ง 31 ท่อน น้ำหนัก 148 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาท
โดยนายชัยยุทธ กล่าวว่า จากข่าวของเจ้าหน้าที่ศุลกากรพบว่า ขบวนการค้างาช้างมักจะลักลอบนำงาช้างมาจากประเทศในทวีปแอฟริกาหรือแอฟริกาใต้ และใช้วิธีการสำแดงชนิดสินค้าที่เห็นได้ว่า เป็นสินค้าประจำถิ่น ในประเทศเหล่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าระวังและตรวจสินค้าที่มีต้นทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยงอย่างเข้มงวด
ล่าสุดเมื่อวันท่ 20 ธ.ค. 2560 เจ้าหน้าที่ศุลกากรสำนักสืบสวนและปราบปราม และสำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ตรวจสอบข้อมูลบัญชีสินค้าทางอากาศยาน พบข้อมูลการนำเข้าที่มีความเสี่ยงในการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ นำเข้ามาทางสายการบินเอธิโอเปีย เที่ยวบินที่ ET618 ขนส่งจากต้นทางท่าอากาศยานมูตาลามูฮัม กรุงลากอส ประเทศไนจีเรีย ปลายทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย สำแดงชนิดสินค้าเป็น สินค้าทั่วไป จำนวน 3 หีบห่อ น้ำหนักรวมประมาณ 175 กิโลกรัม
ทางเจ้าหน้าที่จึงได้อายัดสินค้าและใช้เครื่องมือต่างๆ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในการตรวจสอบผลปรากฏว่า พบภาพวัตถุคล้ายงาช้างบรรจุอยู่ภายในหีบห่อ และไม่มีผู้ใดมาดำเนินพิธีการทางศุลกากรแต่อย่างใด จากการสืบสวนพบว่าชื่อและที่อยู่ที่สำแดงเป็นชื่อและที่อยู่ที่ไม่มีอยู่จริง มีวัตถุประสงค์เพื่อปกปิดอำพรางไม่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจพบ ทางเจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการตรวจสินค้าต้องสงสัยดังกล่าวพบว่า เป็นงาช้างจำนวน 3 กิ่ง 31 ท่อน น้ำหนักรวมประมาณ 148 กิโลกรัม ห่อหุ้มด้วยกระดาษฟอยล์บรรจุอยู่ในลังกระดาษห่อหุ้มด้วยถุงกระสอบสีเขียวอีกชั้นหนึ่ง
สำหรับกรณีดังกล่าวเป็นการลักลอบนำเข้างาช้าง เป็นการกระทำผิดดังตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2557 พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ได้ยึดงาช้างทั้งหมดไว้เป็นของกลาง ส่วนสำนวนคดีส่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เพื่อดำเนินการตามกฎหมายและดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป