จากกรณี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิด เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) เข้าตรวจค้นบ้านพักของนายเปรมชัน กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ผู้ต้องหาคดีล่าสัตว์ป่าสงวนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันตก จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา พบอาวุธปืน 43 กระบอก และงาช้าง 4 กิ่ง ความยาว 1 เมตร โดยภรรยาของนายเปรมชัย อ้างว่ามีใบอนุญาตครอบครองงาช้างถูกต้อง
วันนี้ (9 ก.พ.2561) แหล่งข่าวจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ปทส. ได้ยื่นหนังสือประสานให้ทางกรมอุทยานฯ ตรวจสอบดีเอ็นเองาช้าง 2 คู่ ที่พบภายในบ้านพักนายเปรมชัย โดยสำนักอนุกรักษ์สัตว์ป่า เตรียมประสานให้หน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากงาช้าง คาดว่าจะใช้เวลาตรวจสอบดีเอ็นเอ ประมาณ 1-2 สัปดาห์
ทั้งนี้ ตำรวจแถลงว่า พบสำเนาการแจ้งขึ้นทะเบียนงาช้างภายในบ้านพักของนายเปรมชัย แต่การแจ้งก็ต้องมีหลักฐาน หรือพยานบุคคลว่าผู้ครอบครองได้งาช้างมาจากที่ไหน ซึ่งจะตรงตามข้อเท็จจริงหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ตาม พ.ร.บ.งาช้าง หากเจ้าหน้าที่มีเหตุอันควรสงสัยก็สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา เพราะการรับรองงาช้าง ได้ให้รับรองด้วยตัวเองและทั่วประเทศใช้แนวทางเดียวกันหมด
แหล่งข่าวฯ ยืนยันว่านายเปรมชัยเคยแจ้งขึ้นทะเบียนงาช้างแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเหตุอันควรสงสัย 3-4 ข้อตามกฎหมาย เช่น เจ้าหน้าที่เกิดความสงสัย มีผู้ร้องเรียน หรือมีการกระทำผิดกฎหมาย ก็สามารถตรวจสอบได้ กรณีนี้ตำรวจก็ใช้เหตุอันควรสงสัยในการประสานให้ตรวจสอบดีเอ็นเอ เพราะเชื่อว่าน่าจะไม่ใช่งาช้างที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเจ้าหน้าที่จะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอเมื่อใด เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว จึงมีเวลาพอสมควรระหว่างรอทำสำนวนคดี
“ไม่มีใครรู้ว่าเป็นงาช้างที่ได้รับการขึ้นทะเบียนหรือไม่ เพราะมันดูจากสายตายาก ยกเว้นมีขนาดใหญ่พิเศษก็น่าจะเป็นช้างแอฟริกา เขาจะดูว่าเป็นงาช้างเอเชียหรือไม่ แต่ถ้าเป็นงาช้างแอฟริกาก็จะถือว่ามีความผิด ต้องแจ้งความดำเนินคดี”
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 ม.ค.-21 เม.ย.2558 กรมอุทยานฯ ได้แจ้งให้ผู้ที่มีงาช้างบ้านในครอบครอง ขึ้นทะเบียนทำบัญชีการครอบครอง เพื่อป้องกันปัญหาการลักลอบค้างาช้าง หลัง พ.ร.บ.งาช้าง พ.ศ.2558 มีผลบังคับใช้ โดยผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ