วันนี้ (3 มี.ค.2561) ดร.กณิตา อุ่ยถาวร หัวหน้าหน่วยนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า หลังจากทีมนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า ตรวจดีเอ็นเอยืนยันว่า ชิ้นเนื้อเสือดำชิ้นส่วนท่อนหางในหม้อซุประบุได้ว่ามาจากเสือดำตัวเดียวกันและเป็นเสือดำตัวเมีย ซึ่งรายงานผลให้กับคณะอนุกรรมการติดตามคดีล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่ของกระทรวงแล้ว ขณะนี้ทางตำรวจได้ส่งวัตถุพยานเพิ่มเติมในคดีล่าเสือดำ และสัตว์ป่าทุ่งใหญ่มาให้ตรวจสอบอีก 4 รายการ ประกอบด้วยถุงดำ 8 ใบที่ถูกระบุว่าใส่ชิ้นเนื้อสัตว์ป่า คราบเลือดบนใบไม้จากจุดเกิดเหตุ มีดที่ตรวจยึดได้จากแคมป์ และอุจจาระมนุษย์ ที่คาดว่าเป็นของนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เพื่อนำมาตรวจว่ายังมีเศษชิ้นส่วนของเสือดำที่กินหลงเหลือปะปนในอุจจาระหรือไม่
ดร.กณิตา กล่าวว่า การตรวจหาคราบเลือดจากใบไม้และมีดต้องการหาดีเอ็นเอของเสือดำ เพราะจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่เพิ่มน้ำหนักให้ชัดเจนว่า คณะของนายเปรมชัย มีการสังหารเสือดำในป่าจริง บวกกับวัตถุพยานที่ทางตำรวจเก็บไว้ทั้งกระสุน ปืนที่ใช้ในการยิง ลายนิ้วมือ เพื่อยืนยันว่าเสือดำ ถูกฆ่าและชำแหละในป่าทุ่งใหญ่ ไม่ใช่ถูกนำมาจากที่อื่น ซี่งการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ทั้ง 4 วัตถุพยานคาดว่าจะแล้วเสร็จในสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าถึงแม้คราบเลือดจะบ่งชี้ว่าเป็นเสือดำแต่อาจจะไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นผู้ยิงเสือดำ แต่อย่างน้อยเชื่อว่าจะช่วยให้ชี้ขาดว่าเสือดำถูกฆ่าตายในป่าทุ่งใหญ่รวมทั้งหาความเชื่อมโยงของกลุ่มผู้ต้องหา
ส่วนกรณีการตรวจดีเอ็นเอพบว่า งาช้างจากบ้านนายเปรมชัย 2 คู่เป็นงาแอฟริกานั้น นายสมเกียรติ สุนทรพิทักษ์กูล ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญาไซเตส กรมอุทยานฯ กล่าวว่า อยู่ระหว่างการแจ้งข้อหาในคดีครอบครองซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ภายใต้กฎหมายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 และอาจดูเพิ่มคดีอาญาว่ามีเจตนาแจ้งครอบครองงาช้างเป็นเท็จหรือไม่ เพราะนายเปรมชัยได้แจ้งครอบครองงาช้างเอเชียภายใต้ พ.ร.บ.งาช้าง แต่การแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในคดีงาช้างต้องรอว่าตำรวจจะเป็นผู้แจ้งข้อหาเพิ่ม หรือไม่ เพราะกรมอุทยานฯรายงานผลตรวจประกอบคดีนี้ไปแล้ว