บัญชีรายชื่อนายทหาร ที่จะเข้ารับราชการในตำแหน่งใหม่ วันที่ 1 เม.ย.นี้ มีจำนวน 260 นาย โดยส่วนใหญ่ได้รับการพิจารณาปรับย้าย-สลับตำแหน่ง และขยับขึ้น เพื่อรองรับการเกษียณอายุราชการของนายทหาร ในเดือน ก.ย.นี้ แต่ภาพรวมสะท้อนให้เห็นถึงการพิจารณากระชับกำลังพล ให้เกิดความสมดุลและเสถียรภาพระหว่างรัฐบาล คสช. และกองทัพ
นอกจากการขยับขึ้น กินอัตรานายพลโท และพลเอกแล้ว ยังมีนายพลหน้าใหม่กว่า 80 นาย โดยเฉพาะ พ.อ.นิมิตต์ สุวรรณรัฐ นายทหารคนสนิท พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขยับขึ้นเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยถือเป็นนายทหารคนสนิทนายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายที่ขยับเป็นนายพล
หลังถูกจับตามองว่า "สายบูรพาพยัคฆ์" ผูกขาดในตำแหน่งคุมกำลังหลัก แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนและเป็นช่วงรอยต่อ อาจมีความจำเป็นต้องสร้างสมดุล ให้เกิดเอกภาพในกองทัพ จึงมีการพิจารณาจัดวาง "สายวงเทวัญ" เข้ามาร่วมในตำแหน่งหลัก หลัง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ จ่อคิวในเป็นตำแหน่ง ผบ.ทบ. หลัง พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท เกษียณอายุราชการ
สอดรับกับการขยับ พล.ต.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ซึ่งเป็นบุตรชายของ พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และการขยับให้ พล.ต.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ก็น่าจะเตรียมพร้อมขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในอนาคต
สำหรับ พล.ต.วุฒิชัย นาควานิช น้องชายของ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช องคมนตรี ขยับเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบกอัตราพลโท ส่วน พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช น้องชายอีกคน ยังคงอยู่เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ตามที่คาดการณ์ว่าจะได้เกษียณอายุราชการในตำแหน่งนี้
สำหรับหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ พล.ต.ภูมิพัฒน์ จันทร์สว่าง นายทหารคนสนิทของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ขยับเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจขึ้นเป็นผู้บัญชาการในอนาคต
ไม่ต่างจากกองทัพภาคที่ 2 3 และ 4 ต่างก็สลับ-สับเปลี่ยนกันขึ้นคุมกำลังในการดูแลพื้นที่ และอาจเป็นไปได้ว่า การพิจารณาบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายกลางปี จะสอดรับกับบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายปลาย ที่จะมีผลในวันที่ 1 ต.ค.2561 ด้วย