วันนี้ (15 มิ.ย.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีเงินทอนวัดที่มีการตรวจสอบวัด 3 แห่ง คือ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดสามพระยา และวัดสัมพันธวงศาราม มีรายงานว่าจากการสอบสวนพบรูปแบบและพฤติการณ์ในการกระทำที่แตกต่างจากคดีเงินทอนวัดในครั้งที่ผ่านมา โดยวัดทั้ง 3 แห่ง พระไม่ได้โอนเงินกลับไปยังเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แต่โอนเข้าบัญชีฆราวาส บัญชีตัวเอง ซึ่งเป็นรูปแบบของการฟอกเงิน
เนื่องจากงบประมาณตามโครงการอุดหนุนศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนา รวม 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นเงิน 30 ล้านบาท ครั้งที่ 2 จำนวน 32,500,000 บาท ถูกส่งต่อไปสนับสนุนวัดเพียง 9 แห่ง เป็นเงิน 8,000,000 บาท จากที่โครงการระบุไว้ 13 แห่ง
ขณะที่งบประมาณอีกกว่า 50 ล้านบาท อดีตพระพรหมสิทธิ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ได้ถ่ายเทไปยังบัญชีของฆราวาส ซึ่งจากการตรวจสอบของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พบว่า เงินส่วนมากถูกนำไปในกิจการส่วนตัว
ส่วนกรณีวัดสามพระยา พนักงานสอบสวนพบข้อมูลเพิ่มเติมเป็นโฉนดที่ดินหลายแปลงที่ปรากฏชื่อของ อดีตพระพรหมดิลก อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา เป็นผู้ถือครอง โดยหนึ่งในนั้นมีที่ดินใน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์ปฏิบัติธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ หรือ วัดหลวงพี่แซม
เบื้องต้นพบว่า ที่ดินแปลงนี้ได้มาจากสีการายหนึ่งที่บริจาคให้แก่วัดสามพระยา เมื่อปี 2538 ภายหลัง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาสมรณภาพ อดีตพระพรหมดิลกได้เป็นเจ้าอาวาส และมีการโอนโฉนดมาเป็นชื่อของตัวเอง ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
ส่วนความคืบหน้าการติดตามตัวอดีตพระพรหมเมธีนั้นจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีรายงานว่าประเทศเยอรมนีจะส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในไทยหรือไม่ ขณะที่การเดินทางไปกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ของพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและคณะ ที่คาดว่าจะมีการประสานงานกับตำรวจสากล
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า เป็นเพียงการเดินทางไปดูงานเรื่องอาวุธปืน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการติดตามตัวอดีตพระพรหมเมธี มีรายงานว่า ผบ.ตร. มีกำหนดการเดินทางกลับในวันที่ 16 มิ.ย.นี้