วันนี้ (15 ส.ค.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึงกรณีที่มีการจับกุมตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจกับพวก รวม 4 คน ใช้อาวุธปืนร่วมกันนำตัวผู้เสียหายไปเรียกค่าไถ่ เหตุเกิดในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ว่า ได้รับรายงานจาก ตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ร่วมกันจับกุมตัว ส.ต.ท.จุติพงษ์ ยับ ผบ.หมู่ (นปพ.) สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส พร้อมด้วยของกลางอาวุธปืนเล็กยาว ขนาด 5.56 มม. 1 กระบอก อาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืน เสื้อเกราะกันกระสุน 1 ชุด รถยนต์กระบะ 4 ประตู ยี่ห้ออีซูซุ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 1 คัน โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 1 เล่ม
โดยกล่าวหาว่า "เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ หน่วงเหนี่ยวกักขังบุคคลใดบุคคลหนึ่ง, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือจำเป็นเร่งด่วน, มีเครื่องยุทธภัณฑ์ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต" ส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธพิปูน อ.พิปูน จ.นครศรีธรรมราช ดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2561 เวลา 03.00 น. ผู้ต้องหากับพวก รวม 4 คน ใช้อาวุธปืนของกลางบุกเข้าไปบ้านผู้เสียหายที่เกิดเหตุ ทวงถามเงินที่เป็นหนี้อยู่ จำนวน 80,000 บาท จากผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่มีให้ ผู้ต้องหากับพวกจึงได้ใช้ผ้าผูกปิดตาผู้เสียหายนำไปกักขังไว้ที่เขตพื้นที่ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช หลังจากนั้น ส.ต.ท.จุติพงษ์ฯ ได้ไปร่วมงานศพที่ อ.ท่าศาลา โดยให้พวกตนที่เหลือเฝ้าผู้เสียหายไว้
กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับเเจ้งเหตุ แล้ววางแผนติดตามไปจับกุม สตท.จุติพงษ์ฯ และนายเทพประสิทธิ์ เยาวชนอายุ 17 ปี ไว้ได้ จากนั้นได้ทำการช่วยเหลือผู้เสียหายซึ่งถูกกักขังไว้ที่ อ.พรหมคีรี ได้โดยปลอดภัย ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออีก 2 คน อยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โดยนายเทพประสิทธิ์ฯ นั้นยังถูกดำเนินคดีในข้อหา เสพและมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน)โดยผิดกฎหมาย อีกด้วย
รอง โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า ได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. รับทราบเเล้ว ท่านได้กำชับให้เร่งติดตามผู้ต้องหาที่เหลือมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว หากการสืบสวนสอบสวนพบว่ากระทำผิดจริงให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด ทั้งวินัยและอาญา เพราะเป็นเรื่องที่รับไม่ได้หากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำผิดเสียเอง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อองค์กร
นอกจากนี้ยังได้กำชับให้ผู้บังคับบัญชาคอยสอดส่องดูแลความประพฤติของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิดทั้งในเวลาราชการและนอกราชการ ซึ่งอาจมีพฤติการณ์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดที่กฎหมาย