วันนี้(8 ต.ค.2561) พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงกรณีที่สื่อออนไลน์นำเสนอความเห็นในการบริจาคน้ำนมแม่ให้กับแม่ที่ไม่มีน้ำนมที่เพียงพอที่จะเลี้ยงลูกว่า แม้ว่าจะเป็นไปด้วยความตั้งใจดี แต่การแจกจ่ายกันเองเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำและไม่ถูกต้อง ซึ่งโดยปกติก็ไม่ได้ มีการสนับสนุนให้กระทำตามที่เป็นข่าว
ส่วน พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัยและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นมแม่จากการบริจาคมีความจำเป็นสำหรับเด็กคลอดก่อนกำหนด หรือทารกน้ำหนักตัวน้อยผิดปกติ หรือเด็กป่วยโดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องได้รับการผ่าตัดเกี่ยวกับลำไส้
โดยต้องเป็นนมแม่บริจาคที่ได้ผ่านกรรมวิธีตรวจและฆ่าเชื้อโรคแล้วอย่างมีมาตรฐาน ต้องมีระบบธนาคารน้ำนม ที่เป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์และมีการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับระบบทางการแพทย์อื่นๆ และสำหรับคุณแม่ที่จะบริจาคนม จำเป็นต้องได้รับการซักประวัติ และการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการว่าไม่มีการติดเชื้อ ไม่ใช้ยาหรือ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพน้ำนมที่บริจาค และนมที่ได้รับบริจาคจะต้องถูกตรวจสอบจากธนาคารน้ำนม มีการตรวจคัดกรองเชื้อโรคต่างๆ
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข
พญ.อัมพร กล่าวว่า ธนาคารน้ำนม จะทำการกำจัดเชื้อโรคในน้ำนม ทั้งแบคทีเรียและไวรัส ส่วนสารอาหารในน้ำนมบริจาค จะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ทำให้เด็กยังได้รับประโยชน์จากคุณค่าสารอาหาร แต่ในส่วนของภูมิ คุ้มกันมักสลายไปพอสมควรถ้าเทียบกับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากนมแม่ของตัวเองโดยตรงโดยไม่ผ่านกระบวนการ ดังนั้น จึงไม่สนับสนุนการบริจาคนมให้กันเองโดยไม่มีการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อ เพราะอาจมีผลต่อสุขภาพของเด็ก ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
เด็กควรได้รับนมจากแม่ตัวเองดีที่สุด เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารที่มีประโยชน์สูงสุด
โดยคุณค่าจากน้ำนมแม่ที่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิดที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต พัฒนาสมอง จอประสาทตา ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และคุณค่าจากกระบวนการเลี้ยงลูก ด้วยนมแม่ ซึ่งเด็กที่ปกติจะสนับสนุนให้กินนมแม่ของตนเองอย่างน้อย 6 เดือน