สร้างประวัติศาสตร์เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องแรกที่เข้าชิง Academy Awards สาขา Best Picture สำหรับ Black Panther หลังเมื่อปีก่อนประสบความสำเร็จถล่มทลาย กลายเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลอันดับ 3 ของสหรัฐอเมริกา และกวาดรายได้ทั่วโลกกว่า 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ภายหลังการเปิดโผรายชื่อก็เกิดกระแสในโลกออนไลน์ไม่น้อย เพราะบางส่วนมองว่าแม้เป็นภาพยนตร์ที่ดีเรื่องหนึ่ง แต่อาจไม่ถึงขั้นเข้าชิงรางวัลนี้โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับภาพยนตร์คู่แข่งอย่าง The Favourite, Green Book หรือ Roma รวมถึงหนังซูเปอร์ฮีโร่ในอดีตอย่าง The Dark Knight และ Logan ขณะที่บางคนออกมาปกป้องและย้ำว่าเป็นเรื่องเหมาะสมแล้ว
แต่ไม่ว่าจะสนับสนุนหรือท้วงติง การเข้าชิงรางวัลครั้งนี้ก็สะท้อนความเปลี่ยนแปลงหลายประการของ Academy of Motion Picture Arts and Sciences หนึ่งในนั้น คือทัศนคติต่อหนังซูเปอร์ฮีโร่ เพราะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาหนังยอดมนุษย์มักถูกตีความว่าสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก และไม่ค่อยมีคุณค่าทางศิลปะมากนัก แม้บางเรื่องอย่าง The Dark Knight จะได้รับเสียงวิจารณ์เชิงบวก แต่คงเพราะอคติที่ฝังแน่น จึงไม่ติดโผ Best Picture ทั้งที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอื่นๆ เมื่อปี 2552 ถึง 8 รางวัล นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยยืนยันว่าหนังตระกูลนี้ก็มีคุณภาพมากพอที่จะคว้ารางวัลสูงสุดเช่นกัน อีกปัจจัยที่นักวิจารณ์มอง คือการที่สถาบันต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับยุคสมัย ดังนั้น การหาจุดบรรจบที่ลงตัวระหว่างความเป็นศิลปะกับเชิงพาณิชย์ จึงอาจเป็นหนทางที่ช่วยให้ Oscar คงความนิยมต่อไปได้
แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือการปรับตัวของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เอง เพราะสำหรับคนเชื้อสายแอฟริกันจำนวนมาก Black Panther ไม่ได้เป็นเพียงหนังยอดมนุษย์ธรรมดาๆ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์เชิงอุดมคติที่สะท้อนว่าพวกเขาไม่ใช่พลเมืองชั้นสอง แต่เป็นชนชาติที่เต็มไปด้วยอารยธรรมและรากฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งบางทีการเชื่อมโยงกับผู้คนและเป็นสื่อกลางที่ช่วยเปลี่ยนทัศนคติเดิมๆ ของสังคมอาจเป็นบทบาทของสื่อบันเทิงยุคใหม่ที่สำคัญไม่แพ้การสร้างแง่มุมทางศิลปะใดๆ เลยก็เป็นได้
ในมุมมองของ Kevin Feige ประธาน Marvel Studios ยกให้ Super Man เมื่อปี 2521 ที่นำแสดงโดย Christopher Reeve เป็นจุดเริ่มต้นของหนังยอดมนุษย์ใน Hollywood