วันนี้ (19 พ.ค.2562) นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า ตามที่กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงแผ่นดินกิจกรรมการก่อสร้างทางหลวงเชื่อมต่อระบบขนส่ง โดยกำลังดำเนินการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 317 สายจันทบุรี-สระแก้ว ตอน อ.โป่งน้ำร้อน-อ.สอยดาว ระยะทางประมาณ 21 กิโลเมตรนั้น เนื่องจากตลอดแนวเส้นทางดังกล่าวมีต้นไม้ขนาดใหญ่อายุมากกว่า 100 ปีขึ้นไป เช่น ต้นยางนา ต้นจามจุรี ต้นงิ้วหนาม ต้นสัก ขึ้นเรียงรายอยู่สองฝั่งฟากถนนเป็นจำนวนมาก บางชนิดเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก. ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ได้อนุรักษ์ รักษา และหวงแหนไว้เพื่อใช้เป็นร่มเงาในการเดินทางสัญจรตลอดมา แต่พบว่าขณะนี้ทางกรมทางหลวงได้ปล่อยให้ผู้รับเหมาก่อสร้างถนน ได้เริ่มดำเนินการตัดฟันโค่นทำลายต้นไม้ใหญ่ต่างๆ ออกไปเป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้มีการล้อมย้าย ให้เป็นไปตามหลักวิชาการ หรือดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายแต่อย่างใด นอกจากนั้น แนวเส้นทางดังกล่าวยังมีการก่อสร้างสะพานข้ามทางบริเวณตลาดปะตง อ.สอยดาว โดยไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านของชาวบ้าน จนชาวบ้านได้ติดป้ายผ้าคัดค้านกันเต็มไปหมดอีกด้วย
ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวของกรมทางหลวง ถือได้ว่าเป็นการย่ามใจโดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย สิ่งแวดล้อม ข้อเสนอแนะและเสียงคัดค้านของประชาชนที่ต้องการให้ออกแบบขยายถนน โดยการเบี่ยงเส้นทางเพื่อรักษาต้นไม้ไว้ แต่กลับใช้อำนาจกระทำการโดยไม่สนใจกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งเป็นการขัดต่อนโยบายของรัฐบาลและแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องการรักษาสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สีเขียว และลดปัญหาโลกร้อน
สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนจึงขอเรียกร้องไปยัง รมว.คมนาคม นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ได้โปรดสั่งให้มีการทบทวนการสั่งตัดต้นไม้ใหญ่ ไม้หวงห้ามดังกล่าวเสีย พร้อมตั้งกรรมการสอบ ผอ.แขวงทางหลวงจันทบุรี และอธิบดีกรมทางหลวงว่าการตัดต้นไม้หวงห้ามดังกล่าวมีการขออนุญาตจากกรมป่าไม้แล้วหรือไม่ แล้วต้นไม้เหล่านั้นหายไปไหน ใครนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ อย่างไร การปล่อยให้ผู้รับเหมาโค่นต้นไม้ใหญ่ ไม้หวงห้าม ทำลายสิ่งแวดล้อมในถนนสาย 317 ต่อไปโดยไม่ฟังเสียงประชาชนนั้น เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายแล้วหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีคำตอบใดๆ สมาคมฯ จำเป็นที่จะต้องร่วมมือกับชาวจันทบุรีในการยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อระงับโครงการฯ ต่อไป