ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการได้รับตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลของแต่ละหน่วยงาน โดยต้องรอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แบ่งงานให้ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แต่ละคนดูแลกรมใดบ้าง
สำหรับข้อกล่าวหาในเรื่องของกาค้ายาที่ถูกจับในประเทศออสเตรเลีย หรือในเรื่องที่เกิดขึ้นในไทยนั้น ร.อ.ธรรมนัส ระบุว่า เรื่องที่เกิดในออสเตรเลีย ถือเป็นเรื่องโอละพ่อ ยืนยันว่า ไม่ใช่คนที่นำเฮโรอีนเข้าออสเตรเลีย ไม่ได้เป็นผู้ผลิตยาเสพติด และไม่ได้เป็นผู้จำหน่ายแต่อย่างใด
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ช่วงเดือนเมษายน ตัวเองเดินทางไปเที่ยวนครซิดนีย์ ออสเตรเลีย โดยได้รับคำเชิญจากพี่คนหนึ่งที่ทำงานในหน่วยปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ และต้องเดินทางไปราชการที่ออสเตรเลียเป็นระยะเวลา 1 เดือน จากนั้นตัวเองจึงเดินทางเข้าออสเตรเลียโดยถูกต้อง ผ่านการตรวจค้นทุกขั้นตอน ไม่เคยนำสิ่งของต้องห้ามอย่างที่สื่อมวลชนได้รับทราบข้อมูลจากสื่ออวตารที่พยายามโจมตี จึงเป็นเรื่องโอละพ่อ
ยันไม่ได้ค้ายาเสพติด
แต่ความโชคร้ายของผม คือ มีผู้กระทำความผิดที่ถูกจับในออสเตรเลีย อยู่ในสถานที่ที่ผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย คนไทย 2 คน ถูกแจ้งข้อหารู้ว่ามีการค้ายาเสพติด แต่ไม่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับทราบ ไม่ใช่ข้อหาค้ายาเสพติด ผลิตยาเสพติด หรือนำเข้ายาเสพติด ขณะต่อสู้คดีนั้น ผมเป็นคนไทยคนเดียวที่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหามาตลอด และถูกคุมขังประมาณ 8 เดือน จนถูกปล่อยออกมาใช้ชีวิตตามปกติในนครซิดนีย์ 4 ปีเต็ม จากนั้นถูกส่งตัวกลับมาประเทศไทย เพราะนายกฯ เทศมนตรีนครซิดนีย์ ไม่ต้องการให้คนเอเชียที่ตั้งตัวเป็นกลุ่มก้อน และไม่มีที่พักพิงเป็นหลักแหล่งอยู่ ผมจึงถูกส่งตัวกลับมา แต่ไม่ได้มารับโทษ ไม่เกี่ยวกันเลย หลักฐานเหล่านี้สามารถไปตรวจสอบจากที่ศาลของประเทศออสเตรเลีย ในนครซิดนีย์ ได้ว่าสิ่งที่ผมพูดวันนี้เป็นความจริงหรือไม่ เป็นเรื่องโอละพ่อ คือ ตราบาปที่ผมไม่เคยพูดมาตลอด 30 ปี เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประมาณปี 2535 หรือ 2536 มีบางคนโดยเฉพาะสื่ออวตารโจมตีว่าผมต้องกลับมารับโทษในประเทศไทย มันคนละเรื่องกัน
รู้ตัวคนปล่อยข่าว หวังล้มรัฐบาล
ขณะนี้ตัวเองทราบหมดแล้วว่า ใครอยู่เบื้องหลังความพยายามที่จะล้มผมให้ได้ เพราะสื่อมวลชนเองก็ทราบดีว่าผมเป็นกำลังหลักในการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ โดยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและประสานงาน หากล้มผมได้รัฐบาลก็สั่นคลอน เพราะในหลาย ๆ พรรค ในหลาย ๆ ส่วนที่ผมประสานไว้ ถือเป็นความลับที่ตัวเองรู้เพียงคนเดียว โดยต้องปล่อยให้กฎหมายบ้านเมืองจัดการต่อไป ยืนยันคนที่อยู่เบื้องหลังไม่ใช่คนในพรรคพลังประชารัฐ
เขารู้ว่าผมเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่จะเอาเลือดไปหล่อเลี้ยงในหัวใจของรัฐบาล จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อล้มผม
ส่วนกรณีที่เคยถอดยศมาก่อนนั้น ร.อ.ธรรมนัส ได้แสดงหนังสือการเลื่อนยศ โดยกล่าวว่า หนังสือฉบับนี้ลงวันที่ 1 มิ.ย.2541 หนังสือของกระทรวงกลาโหม เรื่องการเลื่อนยศให้นายทหารสัญญาบัตร ว่า ร.อ.ลำดับที่ 1 คือ ร.ท.พชร พรหมเผ่า ประเด็นนี้ชัดเจนผมได้รับเลื่อนยศเป็น ร.อ. เมื่อเดือน มิ.ย.2541 ไม่ใช่ผมใช้ยศ ร.อ.นำหน้า โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผมเชื่อว่าไม่มีใครมีหนังสือฉบับนี้ เพราะผมเก็บมา ซึ่งขณะนั้นใช่ชื่อว่า ร.ท.พชร พรหมเผ่า
นายให้มาจะทำให้ดีที่สุด
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรที่มีคนปรามาสว่า กระทรวงเกษตรฯ ยุคใหม่เป็นกระทรวงมาเพีย ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า คนเรานั้น อยากถามว่า สามารถทำอดีตให้เป็นปัจจุบันได้หรือไม่ แต่สิ่งที่จะพิสูจน์ฝีมือ คือ ในอนาคตผมจะทำอะไรให้พี่น้องประชาชนและทดแทนคุณแผ่นดินจะทำอะไรให้เป็นรูปธรรรมได้บ้าง ส่วนนี้คือสาระสำคัญ ไม่ใช่เอะอะก็กล่าวหากันว่า มาเฟีย นักเลง คนใจนักเลงอย่างผม ลองให้ได้ทำงานดูก่อน หากทำไม่ได้เรื่องแล้วจะพิจารณาตัวเอง
ที่ผ่านมาพูดมาโดยตลอดว่า ไม่จำเป็นต้องรับตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำแหน่งใด ๆ เพราะหลังจากประสบความสำเร็จทางธุรกิจก็ทำงานเพื่อสังคมมาตลอด แต่ชาว จ.พะเยาให้ความไว้วางใจผม และในฐานะประธานยุทธศาสตร์ภาคเหนือของพรรคก็ได้รับปากประชาชนไว้มากมาย และ 17 จังหวัดภาคเหนือก็กาคะแนนให้พรรคพลังประชารัฐอย่างล้นหลาม ได้ ส.ส.เขต 25 ที่นั่ง แต่เมื่อนายให้มาเป็นเราก็จะต้องทำให้ดีที่สุด และตระหนักให้หน้าที่ตัวเองที่จะต้องทำอะไรให้สังคมต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความมั่นใจว่ามีคุณสมบัติเหมาะเป็นรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ผมเป็นลูกชาวนา อยู่กับดินมา การเกษตรคือสิ่งที่อยู่กับดิน ดังนั้นจึงเข้าใจพื้นฐานของประชาชน ในอาชีพการเป็นเกษตรกรรู้ว่าปัญหาคืออะไร และอะไรคือสิ่งที่เกษตรกรต้องการ ผมคิดว่าตอบโจทย์ได้ดีที่สุด
ย้ำไม่มีปัญหาคุณสมบัติ ส.ส.
ผู้สื่อข่าวถามว่าสังคมตั้งข้อสังเกตเรื่องคดีความต่าง ๆ จะพิสูจน์ตัวเองอย่างไร ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ในเรื่องคดีความต่าง ๆ เรื่องต่างประเทศได้ชี้แจงไปแล้ว สำหรับประเทศไทย ผมไม่มีประวัติอาชญากรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้จะถูกกล่าวหาพาดพิง เป็นเรื่องปกติที่ผมมีผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนมาก เป็นคนกว้างขวาง เพื่อนฝูงเยอะ และเป็นคนใจกว้าง บางครั้งการคบคนนั้นคนนี้ไม่ได้กรอง ไม่ได้ไตร่ตรอง เมื่อเขานำภัยมาหาเรา จะไปโทษคนนั้นคนนี่ไม่ใช่วิถีผม วิถีผมคือการแก้ปัญหาให้จบด้วยตัวเอง ด้วยวิถีทางกระบวนการยุติธรรม ผมไม่เคยมีสิ่งใดค้างคาในศาล ผมได้ใช้กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ตัวเองมาทุกเรื่องทุกสถานการณ์
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงลักษณะต้องห้าม ส.ส. ที่ต้องไม่เคยต้องคำพิพากษาจำคุก พร้อมยกตัวอย่างต้องถูกดำเนินคดีในออสเตรเลียนั้น ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ผมไม่เคยละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ และชีวิตของผมผ่าน พ.ร.บ.ล้างมลทินมาหลายฉบับแล้ว เคยสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อกับพรรคการเองหนึ่ง หากไม่มีการรัฐประหารครั้งที่แล้วก็คงได้เป็น ส.ส.ทำไมถึงไม่มีปัญหา แต่ทำไมถึงมีปัญหาในครั้งนี้ และไม่ถูกโจมตีอะไรเลย
เมื่อถามว่าคดีความที่ออสเตเลียแล้วหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ข้อกล่าวหาที่ออสเตรเลียไม่มีในกฎหมายไทย คือให้ผู้ถูกกล่าวหาไปลองตัดสิน หากพิ่งพอใจก็ให้รับ หากไม่พึ่งพอใจก็ให้ต่อสู้คดี กฎหมายบ้านเขาไม่เหมือนกฎหมายบ้านเรา และขอยืนยันว่าคดีถึงที่สุดแล้ว ซึ่งคดีนี้ศาลให้ลองมาพิจารณาว่ารู้ว่ามีการกระทำผิด แต่ไม่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษในออสเตรเลีย เมื่อศาลให้ตัดสิน 4 ปี แต่พฤติกรรมของรูปคดี ซึ่งตอนนั้นถูกกันไว้เป็นพยาน ผมถูกจองจำ 8 เดือน และจากนั้นก็ใช้ชีวิตปกติข้างนอก ทำงานเป็นผู้จัดการขายสุขภัณฑ์ แต่ภายหลังรัฐบาลออสเตรเลียไม่ต้องการก็ส่งกลับประเทศ โดยไม่มีคดีอะไรค้างคาใด และเดินทางกลับมาประเทศไทยไม่ใช่เป็นการมารับโทษ
เมื่อถามว่าเปิดเผยได้หรือไม่ว่าใครจ้องทำลาย ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า รู้ตัวหมดแล้วแต่ขอปิดเป็นความลับ เพราะกำลังดำเนินคดีอยู่ และยืนยันว่าเป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม เป้าหมายเพื่อที่จะล้มล้างรัฐบาล
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า ผมไม่เข้าข่ายในคดียาเสพติด ไม่อยู่ในประเภทนี้เลย เป็นเรื่องของกฎหมายออสเตรเลีย ไม่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับไทย ซึ่งนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ได้ชี้แจงเรื่องนี้ไปแล้ว ผมไม่ได้กังวลเรื่องนี้ เป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมายที่ต้องไปชี้แจง
ขู่ฟ้องกลับคนกล่าวหา
อยากฝากสื่อมวลชนไปศึกษาเรื่อง พ.ร.บ.ล้างมลทินปี 2550 จะตอบโจทย์เรื่องตนทั้งหมด โดยเฉพาะมาตรา 4 ให้ล้างมลทินแก่ผู้บรรดาต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 5 ธ.ค.50 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.นี้มีผลบังคับใช้ ให้ถือว่าผู้นั้นมิถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ๆ ซึ่งถือว่าชัดเจนและไม่มีความผิด โดยที่เฉพาะข้อกล่าวหาที่ว่าถูกปลดออกจากราชการข้อหาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีที่ออสเตรเลีย
เมื่อถามว่าหากในอนาคตมีการยื่นตรวจสอบคุณสมบัติจะหนักใจหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า การตรวจสอบคุณสมบัติมีมาแล้วหลายขั้นตอน ตั้งแต่ลงสมัคร ส.ส. กว่าพี่น้องประชาชนจะเลือกตั้งผ่านมาหลายขั้นตอนแล้ว โดยเฉพาะกกต. และเรื่องของตนไม่ใช่กรณีศึกษาเรื่องแรก ผ่านหลายตัวอย่างและขั้นตอนมาแล้ว ซึ่งตนไม่กังวลอะไร แต่จะเป็นเพียงวาทกรรมที่มีการพูดกันของสื่อมวลชน โดยเฉพาะเพจอวตารอีกนาน แต่ผมหนักแน่นพอ ต้องรู้ตัวเองว่าชั่วหรือไม่ชั่ว สิ่งนี้สำคัญที่สุด จริยธรรมคือสิ่งที่อยู่ในใจเรา เรารู้ตัวเองว่าเราทำอะไรอยู่ และก็ไม่กังวลว่าใครจะมาตรวจสอบคุณสมบัติ
ผมไม่ได้ห้ามและก็ไม่กังวลว่าใครจะมาตรวจสอบคุณสมบัติ แต่หากใครจะมาตรวจสอบผมและสุดท้ายผมไม่มีความผิดคุณก็ต้องพร้อมที่จะถูกดำเนินดคี ซึ่งผมฟ้องกลับแน่นอน และจะเดินหน้าทำงานในฐานะรัฐมนตรี เพราะผมมาจากพี่น้องประชาชน โดยถูกโจมตีเรื่องดังกล่าวมาสิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองพะเยา ยืนยันเรื่องนี้ยังไม่ได้คุยกับนายกรัฐมนตรี แต่กว่าจะถึงขั้นตอนส่งชื่อ ครม.เพื่อกราบบังคมทูลก็ผ่านหลายขั้นตอนมาแล้ว