วันนี้ (21 ก.ย.2562) พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ได้เกิดพายุโพดุลและพายุคาจิกิ ส่งผลให้ฝนตกหนักและเกิดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยต่อเนื่องในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จ.อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และร้อยเอ็ด
ทั้งนี้สถานการณ์ยังคงมีความรุนแรงก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้ตรวจสอบแนวโน้มสถานการณ์ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ
พบว่าอิทธิพลของลมมรสุมอาจส่งผลให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมาก บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ประกอบกับข้อมูลของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และกรมชลประทาน เห็นว่าสถานการณ์น้ำในแม่น้ำชีและแม่น้ำมูลมีระดับลดลง แต่ยังคงล้นตลิ่ง สอดคล้องกับความเห็นเชิงพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานีว่าสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง และสถานการณ์ยังมีความรุนแรงต่อเนื่อง
ยกระดับภัยพิบัติระดับ 3 ครอบคลุม 4 จังหวัด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จึงได้ประกาศยกระดับการจัดการสาธารณภัยเป็นระดับ 3 ซึ่งถือเป็นสาธารณภัยขนาดใหญ่ ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2558 ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และร้อยเอ็ด
โดยให้อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะผู้อำนวยการกลาง ดำเนินการและปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล อำนวยการ ประสานการปฏิบัติ ประเมินสถานการณ์ ติดตามเฝ้าระหว่าง วิเคราะห์สถานการณ์ และรายงานต่อผู้บังคับบัญชา รวมทั้งให้จัดตั้งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ส่วนหน้า) ณ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 13 อุบลราชธานี โดยมี นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นผู้กำกับควบคุมพื้นที่
โดยมีส่วนราชการต่าง ๆ ร่วมบูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชน และให้กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติจัดตั้งส่วนสนับสนุนการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน (สปฉ.) โดยให้ประสานการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัย กับหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนจิตอาสา เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในด้านต่าง ๆ โดยเร็ว
เมื่อสถานการณ์ในพื้นที่คลี่คลายจะเร่งสำรวจความเสียหายในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านชีวิต ที่อยู่อาศัย การประกอบอาชีพ สิ่งสาธารณประโยชน์ โครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น เพื่อทำการฟื้นฟูให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว
การยกระดับการจัดการสาธารณภัยเป็นระดับ 3 ใน 4 จังหวัดเพื่อให้เกิดการประสานบูรณาการทุกหน่วยงานทั้งในระดับนโยบายและระดับการปฏิบัติในพื้นที่ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนอง แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน
พล.อ.อนุพงษ์ ย้ำว่า ขอให้ทุกหน่วยงานน้อมนำพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ยึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย โดยติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง คิดปรับแนวทางแผนเผชิญเหตุทั้งในภาพรวมและเฉพาะเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นรวบรวมความเสียหาย เตรียมการสิ่งใหม่ๆ และสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ เพื่อลดผลกระทบบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
4 จังหวัดอีสานน้ำยังท่วม 19 เส้นทางรถผ่านไม่ได้
"บิณฑ์" ชื่นชมน้องพิมพ์ หัวใจเกินล้าน ทุบกระปุกช่วยน้ำท่วม