วันนี้ (9 ต.ค.2562) นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวว่า เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณามาตรการชิมช้อปใช้ ระยะที่ 2 ภายในเดือนนี้ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศช.) อยู่ระหว่างสรุปรายรายละเอียดและวิธีปฏิบัติ คาดว่าจะสรุปได้ในสัปดาห์นี้
แต่เบื้องต้นมาตรการชิมช้อปใช้ ระยะที่ 2 อาจปรับเพิ่มสัดส่วนคืนในกระเป๋า จากเดิมร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกินคนละ 4,500 บาท และพิจารณาความเหมาะสม และมาตรการจูงใจให้ออกมาใช้จ่ายการแจกเงิน และสิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แต่การดำเนินมาตรการ ชิมช้อปใช้ ระยะที่ 2 จะเน้นกระตุ้นการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวและอาจจำกัดเฉพาะจังหวัดเมืองรองหรือไม่ โดยจะเปิดโอกาสให้ผูัลงทะเบียน ชิมช้อปใช้ ระยะแรกสามารถลงทะเบียนได้ในระยะที่ 2 แค่จำนวนโควตาผู้ได้รับสิทธิ์ จะเหลือไม่เกิน 5 ล้านคน
นายอุตตม กล่าวอีกว่า จะพยายามออกแบบมาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ ร้อยละ 3 อย่างเต็มที่ แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ใช่ปัจจัยอย่างเดียวที่สามารถชี้วัดจีดีพีทั้งปีได้ แต่น้ำหนักสำคัญในจีดีพี คือ การส่งออก และการลงทุนที่ต้องติตตามอย่างใกล้ชิดด้วย
ส่วนปัญหาเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 6 ปีนั้น นายอุตตม กล่าวว่า ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า แบงก์ชาติกำลังติตตามปัญหาดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และใช้เครื่องมือบริหารค่าเงินตามช่วงเวลาเพื่อไม่กระทบเศรษฐกิจไทย และความสามารถในการแข่งขันภาคส่งออกมากเกินไป แต่เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเสมือนเหรียญ 2 ด้าน นอกจากผลกระทบแล้ว เอกชนสามารถใช้โอกาสนี้นำเข้าทุนและเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตระยะยาว
มาตรการ “ชิมช้อปใช้” เงินสะพัดกว่า 4 พันล้าน
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการลงทะเบียนรับสิทธิ์มาตรการ “ชิมช้อปใช้” มีผู้ลงทะเบียนครบจำนวนทุกวัน โดยตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.2562 เป็นต้นมา ได้เปิดให้มีการลงทะเบียนเก็บตกตามสิทธิ์ที่ยังคงเหลือ ซึ่งล่าสุดมีผู้ได้รับสิทธิ์ใกล้ครบจำนวน 10 ล้านคนแล้ว
โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การตรวจสอบสิทธิ์ผู้ลงทะเบียน 14 วันแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์ 9,939,590 คน ซึ่งผู้ลงทะเบียน 13 วันแรกได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์แล้วจำนวน 9,693,845 คน ทั้งนี้ มีผู้เข้ายืนยันตัวตนในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” แล้ว 8,854,072 คน โดยยืนยันตัวตนสำเร็จ 7,934,311 คน และมีผู้ที่ยังไม่ได้ติดตั้งแอปพลิเคชัน 839,773 คน
ในการใช้จ่าย 12 วันแรก มีผู้ใช้สิทธิ์จำนวน 4,535,561 คน มีการใช้จ่ายรวม 4,296 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่าย g-Wallet ช่อง 1 ประมาณ 4,254 ล้านบาท โดยเป็นการใช้จ่ายที่ร้าน “ช้อป” ซึ่งเป็นร้านในกลุ่ม OTOP ร้านวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งร้านธงฟ้าประชารัฐ 2,416 ล้านบาท
ส่วนร้าน “ชิม” หรือร้านอาหารและเครื่องดื่มมียอดใช้จ่าย 583 ล้านบาท ร้าน “ใช้” เช่น โรงแรม โฮมสเตย์ เป็นต้น มียอดใช้จ่าย 55 ล้านบาท และร้านค้าทั่วไป มียอดใช้จ่าย 1,200 ล้านบาท ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า มีการใช้จ่ายในร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขาประมาณ 817 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนลดลงต่อเนื่องจากร้อยละ 22 ในช่วงเริ่มต้น เป็นร้อยละ 19 ของยอดใช้จ่ายทั้งหมด
สำหรับการใช้จ่าย g-Wallet ช่อง 2 มีผู้ใช้สิทธิ์แล้ว 15,027 คน มียอดใช้จ่ายประมาณ 42 ล้านบาทหรือเฉลี่ยรายละ 2,782 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ภายใน 5 วัน โดยเป็นการใช้จ่ายที่ร้าน “ช้อป” 27 ล้านบาท ส่วนร้าน “ชิม” และร้าน “ใช้” มียอดใช้จ่าย 9 ล้านบาท และ 6 ล้านบาท ตามลำดับ มีการใช้จ่ายกระจายครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ (1) กรุงเทพฯ 536 ล้านบาท (2) ชลบุรี 297 ล้านบาท (3) สมุทรปราการ 184 ล้านบาท (4) ปทุมธานี 135 ล้านบาท (5) พระนครศรีอยุธยา 130 ล้านบาท (6) ระยอง 114 ล้านบาท (7) นครปฐม 108 ล้านบาท (8) ลำพูน 105 ล้านบาท (9) เชียงใหม่ 101 ล้านบาท และ (10) นนทบุรี 101 ล้านบาท
โฆษกกระทรวงการคลัง ได้เน้นย้ำว่า สำหรับผู้ได้รับสิทธิ์จากการลงทะเบียนวันแรก (วันที่ 23 ก.ย.2562) และยังไม่ได้เริ่มใช้จ่าย ขอให้เริ่มใช้จ่ายภายในวันพรุ่งนี้ (วันที่ 10 ต.ค.2562) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะครบ 14 วัน เพื่อรักษาสิทธิ์ และสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จและได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์แล้ว ขอให้รีบติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และเริ่มต้นการใช้จ่ายภายใน 14 วัน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: กรมบัญชีกลาง โทร 02 2706400 กด 7 / App “เป๋าตัง” ติดต่อธนาคารกรุงไทย โทร 02 1111144 / ข้อมูลเที่ยวชิมช้อปใช้ติดต่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร 1672