วันนี้ (30 ม.ค.63) พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุหลังการประชุมสภากลาโหมเมื่อวานนี้ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้สั่งการผ่าน พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม โดยกำชับให้หัวหน้าส่วนราชการและผู้บัญชาการเหล่าทัพ สนับสนุนข้อมูลการอภิปรายทั่วไปให้กับคณะทำงานกระทรวงกลาโหมประจำรัฐสภา เพื่อเปิดเผยและทำความเข้าใจกับสมาชิกรัฐสภาและประชาชนอย่างตรงไปตรงมาเพื่อสร้างความเข้าใจบทบาทและสถานะความเป็นจริงของกองทัพ
พร้อมทั้งสนับสนุนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาวิกฤตน้ำ โดยเน้นจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์กระจายออกช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน โดยให้กองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบก เร่งขุดเจาะบ่อบาดาล รวมทั้งวางแผนและเตรียมขยายผลจัดทำแหล่งน้ำผิวดินเพิ่มเติมในพื้นที่ประกาศภัยแล้ง
นอกจากนี้ให้สนับสนุนทรัพยากรทางทหารร่วมแก้ปัญหามลพิษจากฝุ่นละอองในช่วงสถานการณ์วิกฤต ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ และยกระดับการควบคุมไฟป่า พร้อมทั้งให้ติดตามสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยประสานกับกระทรวงสาธารณสุข เสริมกำลังเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ลงพื้นที่เพื่อคัดกรองและแยกผู้ป่วยส่งเข้ารับการรักษา โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง เช่น สนามบิน ด่านตรวจคนเข้าเมือง ห้างสรรพสินค้า
ทั้งนี้ให้กองทัพอากาศเตรียมอากาศยาน พร้อมชุดปฏิบัติการแพทย์สนับสนุนภารกิจช่วยเหลือคนไทยและนักศึกษาในพื้นที่เสี่ยง เมื่อได้รับการประสานจากกระทรวงการต่างประเทศโดยเร็ว โดยพล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวว่า ได้เตรียมความพร้อมจัดส่งเครื่องบินซี-130 พร้อมชุดแพทย์สนับสนุนภารกิจช่วยเหลือคนไทยในเมืองอู่ฮั่น แม้แนวโน้มจะส่งเครื่องบินพาณิชย์ไปรับมากกว่า พร้อมยืนยันว่า เครื่องบินทหารสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยและเหตุผลของประเทศปลายทาง ซึ่งจีนค่อนข้างระมัดระวังเรื่องความมั่นคง
แผนการอพยพประชาชนกลับไทยที่กองทัพอากาศได้วางไว้ สามารถส่งไปได้ แต่ต้องมีข้อตกลงว่าปลายทางยินดีอนุมัติให้เข้าไปได้หรือไม่ ซึ่งกองทัพอากาศก็ยังคงสแตนบายอยู่
ทั้งนี้ที่ประชุมสภากลาโหม ยังย้ำให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ ให้ความสำคัญกับแผนนำกำลังพลสำรองเข้าทำหน้าที่ทหารเป็นการชั่วคราว เพื่อบรรจุในหน่วยนำร่องของแต่ละเหล่าทัพ โดยให้จัดอบรมความรู้พื้นฐานที่จำเป็นในการปฏิบัติราชการ เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับหน่วยทหารในภารกิจของกองทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว
พร้อมทั้งเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงกลาโหมเรื่องกำหนดยุทธภัณฑ์ที่ต้องขออนุญาตตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ ปี 2530 โดยมีการเปลี่ยนแปลงรายการยุทธภัณฑ์จากเดิม 302 รายการ เป็น 292 รายการ ที่ครอบคลุมทั้งเครื่องอาวุธ ยานพาหนะ เครื่องมือในการรบ สารเคมีที่ใช้ในสงครามเคมี สารเคมีและสารเคมีที่ใช้เป็นส่วนผสมของวัตถุระเบิด และวัตถุระเบิด เพื่อให้มีความทันสมัย ไม่ซ้ำซ้อนและอยู่ในระดับเดียวกับสากล โดยอิงกับกฎหมายและสนธิสัญญาระหว่างประเทศ