การเตรียมความพร้อมมาตรการผ่อนคลายตามประกาศสำนักงานการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (กพท.) ที่จะอนุญาตให้บุคคลและอากาศยานเดินทางเข้าประเทศไทยครอบคลุมบุคคลสัญชาติไทย และบุคคลที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย ที่แจ้งขออนุญาตผ่านกระทรวงการต่างประเทศเดินทางเข้าประเทศ
น.ท.สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจึงได้ประสานกับกระทรวงสาธารณสุข จัดทำจุดคัดกรองควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ โดยตั้งห้องปฏิบัติการหรือแล็บตรวจหาเชื้อ COVID-19 โดยตรวจจากสารคัดหลั่งทางพันธุกรรม หรือ PCR ซึ่งระบบดังกล่าวปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแม่นยำถึงร้อยละ 95 เป็นที่ยอมรับในสากล และสามารถทราบผลไม่เกิน 2 ชั่วโมง
ทั้งนี้ จะเริ่มจากผู้ที่ประสงค์จะเดินทางเข้าไทย ประสานขอออนุญาตผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ด้วยตนเองหรือผ่านตัวแทนธุรกิจ (เอเจนซี่) เมื่อกระทรวงการต่างประเทศประสานอนุญาตการเดินทางมาสุวรรณภูมิแล้วก็จะอนุญาตให้มีการเดินทางเข้ามาตามรายชื่อที่กำหนด ส่วนของท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น มีการจัดเตรียมพื้นที่บริเวณประตูทางเข้า (GATE) D3 และ D4 เพื่อเป็นห้องพักคอยของผู้โดยสารที่รอผลตรวจ
อย่างไรก็ตาม การตรวจระบบ PCR ผู้ประสงค์จะเดินทางประสานผ่านเอเจนซี่จะต้องรับภาระค่าตรวจรายละ 3,000 บาท แต่จะยกเว้นค่าใช้จ่ายให้เจ้าหน้าที่การทูตเท่านั้น โดยเมื่อตรวจคัดกรองแล้วจะไม่ต้องกักตัว 14 วันใน State Quarantine แต่จะต้องมีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ติดตามไปด้วย และไม่สามารถใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ โดยค่าใช้จ่ายเอเจนซี่ที่ประสานการเดินทางจะเป็นผู้รับค่าใช้จ่ายทั้งหมด
หลังจากนี้ การนำวิธีการตรวจระบบ PCR ไปใช้กับท่าอากาศยานอื่น ๆ เช่นท่ากาศยานเชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต หาดใหญ่ และเกาะสมุย พร้อมยืนยันว่าการตรวจมีมาตรฐานและได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก