วันนี้ (21 ก.ย.2563) นายลวรณ แสงสนิท ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า โครงการคนละครึ่ง นี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการนำข้อมูล ของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ มาใช้ในการเรียกเก็บภาษี หรือดูว่ามีความผิดในเรื่องอะไรหรือไม่ เพราะช่วงที่ผ่านมาก็มีการนำร้านค้าหรือผู้ประกอบการ เข้าร่วมโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ซึ่งรัฐก็ไม่ได้ใช้ข้อมูลของเอกชนในการหาความผิดอะไร
ผู้ลงทะเบียนรับเงิน 3,000 บาทจะไม่มีการเรียกเก็บเงินคืนในทุกกรณียกเว้นหากพบว่ามีการทำผิดวัตถุประสงค์ ในการใช้เงินหรือกระทำ การทุจริตในทางใดทางหนึ่ง
สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจะเปิดให้ลงทะเบียนวันที่ 1 ต.ค.นี้ ต้องเป็นร้านค้าบุคคลธรรมดา ไม่ใช่ร้านค้าที่เป็นนิติบุคคล ไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อและไม่ใช่ร้านค้าแฟรนไซส์ ขณะนี้มีร้านค้าที่พร้อมเข้าร่วมกว่า 100,000 รายทั่วประเทศ
ใครลงทะเบียนก่อนได้สิทธิ 3,000 บาท
ส่วนหลักเกณฑ์ โครงการคนละครึ่งที่รัฐจะแจกเงิน 3,000 บาทให้ประชาชนจำนวน 10 ล้านคน ไม่ได้จำกัดเงื่อนไข หรือพิจารณาจากรายได้ของผู้ที่จะได้รับสิทธิว่าต้องเป็น ผู้มีรายได้ในระดับเท่าใดแต่ยึดที่ผู้ลงทะเบียนได้ก่อน และทันตามจำนวนที่กำหนดไว้ 10 ล้านคน และเป็นผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น กำหนดให้ผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จและได้สิทธิรับเงิน 3,000 บาทต้องใช้จ่ายในร้านค้าที่ร่วมโครงการภายใน 14 วันเท่านั้น หากไม่ใช้ภายในเวลาที่กำหนด จะตัดสิทธิจำนวนเงินทิ้งแล้วนำมาเปิดให้ลงทะเบียนใหม่จนกว่าจะครบตามจำนวนที่วางไว้ มีระยะเวลาตั้งแต่ต.ค.-ธ.ค.นี้
โครงการคนละครึ่งจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์คนละครึ่งดอทคอม วันที่ 16 ต.ค.นี้ และเริ่มใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง 23 ต.ค.-31 ธ.ค.นี้ โดยรัฐบาลจะสมทบการใช้จ่ายให้สูงสุดวันละ 100 บาทต่อวัน ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคนตลอดระยะโครงการ
ทั้งนี้ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้เพราะรัฐจะเพิ่มวงเงินให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละ 1,500 บาท แบ่งเป็นเดือนละ 500 บาท 3 เดือนติดต่อกัน จำนวน 14 ล้านคน ให้นำเงินส่วนนี้ไปใช้ในร้านค้าธงฟ้า ปกติจะได้เงินช่วยเหลือ 200-300 บาท จะเพิ่มให้อีก 500 บาทเป็นเวลา 3 เดือน
ปรับแก้เงื่อนไข"คนละครึ่ง" ให้ร้านนวด-ตัดผม เข้าร่วมได้
นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เห็นด้วยกับหลักการโครงการดังกล่าวแต่หลายฝ่ายยังมองว่ารัฐควรปรับแก้เงื่อนไข เพราะมองว่าเป็นข้อกำหนดที่ละเอียดเกินไปกังวลว่าประชาชนนำเงินไปใช้ไม่ตรงวัตถุประสงค์ อยากเสนอให้รัฐเปลี่ยนกำหนดให้เงิน 1,000 บาทต่อเดือนเหมือนเดิม แต่ไม่ต้องกำหนดรายละเอียดย่อยซื้อเท่าไหร่ต่อครั้งก็ได้ เพื่อให้รายได้เข้าสู่ร้านค้ารายย่อยได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
รัฐควรเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านทำผมรายเล็ก ร้านกาแฟโบราณ และร้านนวดแผนไทย เข้าร่วมในโครงการนี้ด้วย เพื่อช่วยให้เกิดการกระจายรายสู่เศรษฐกิจฐานรากได้อย่างทั่วถึง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ศบศ.เคาะแจก "คนละครึ่ง" จำกัดสิทธิ์บัตรสวัสดิการ-ค้าปลีก
เคาะแจกเงิน 3,000 บาท 10 ล้านคน ลงทะเบียน ต.ค.นี้