วันนี้ (7 พ.ย.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เริ่มตั้งแต่มิตต์ รอมนีย์ วุฒิสมาชิกรัฐยูทาห์ และอดีตตัวแทนพรรครีพับลิกันลงชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2012 นำขบวน ส.ส. ส.ว. ผู้ว่าการรัฐ และอดีตนักการเมืองรีพับลิกัน ประณามการกระทำของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ถือเป็นการโจมตีกระบวนการประชาธิปไตยของประเทศ
ถ้อยแถลงของทรัมป์ที่ทำเนียบขาวประการแรก คือ การอ้างชัยชนะของทรัมป์เหนือรัฐสมรภูมิสำคัญๆ ทั้งรัฐเพนน์ซิลเวเนีย จอร์เจีย หรือแม้กระทั่งมิชิแกน แต่ในความเป็นจริงผลการนับคะแนนยังไม่แล้วเสร็จ และคะแนนของ 2 ฝ่ายสูสีกันมาก ทำให้ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ โดยแม้ว่าทรัมป์จะมีคะแนนนำในช่วงแรก แต่เมื่อบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์เริ่มถูกนับมากขึ้น ระยะห่างระหว่าง 2 ฝ่าย ก็ยิ่งแคบเข้ามาทุกที
ลงคะแนนล่วงหน้า - ไปรษณีย์ = ผิดกฎหมาย ?
ส่วนประการต่อมา คือ เรื่องการลงคะแนนใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างผิดกฎหมาย ทรัมป์ใช้คำว่า ถ้านับแต่คะแนนที่เป็นคะแนนการใช้สิทธิอย่างถูกกฎหมาย ทรัมป์คงชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ไปแบบง่ายดาย ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นว่า ทรัมป์อาจจะเกิดความสับสนในการใช้คำระหว่าง "การใช้สิทธิ" กับ "การนับคะแนน" เพราะการใช้สิทธิมีหลายวิธี ทั้งการลงคะแนนล่วงหน้าที่หน่วยเลือกตั้ง การลงคะแนนทางไปรษณีย์ และการออกไปใช้สิทธิที่หน่วยในวันเลือกตั้ง ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย
ประเด็นดังกล่าวนำมาสู่ความพยายามในการโจมตี ระบบลงคะแนนทางไปรษณีย์ของทรัมป์มาอย่างต่อเนื่อง โดยทรัมป์บอกว่า "วิธีนี้ทำลายระบบเลือกตั้งและเอื้อให้เกิดการทุจริตได้ง่าย"
ภาพการประท้วงของกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ในหลายเมืองทั่วสหรัฐฯ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของผลสะท้อนที่เกิดขึ้น จากการตั้งคำถามของทรัมป์ต่อวิธีการลงคะแนนแบบนี้ ซึ่งถูกโหมกระพือด้วยกระแสข่าวลวง โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ประเด็นนี้ยิ่งสร้างความกังวลและบั่นทอนความเชื่อมั่นของชาวอเมริกันที่มีต่อระบบการเลือกตั้งที่ใช้กันอยู่ แม้ว่าเจ้าหน้าที่จัดการเลือกตั้งและผู้เชี่ยวชาญการเมืองอเมริกันจะยืนยันว่า
ข้อกล่าวหานี้ไม่เป็นความจริง และการโกงเลือกตั้งมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากๆ
ความไม่เชื่อมั่นในระบบที่เกิดขึ้น รวมถึงจุดยืนของตัวโดนัลด์ ทรัมป์ เอง ทำให้เกิดความกังวลถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจที่อาจไม่ราบรื่น หากไบเดนชนะเลือกตั้ง
ทั้งนี้ ปัญหานี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน และรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติเอาไว้ว่าจะต้องทำอย่างไร ดังนั้น ทางออกที่พอจะเป็นไปได้ก็คงหนีไม่พ้น การที่จะต้องอาศัยแรงกดดันจากสภาคองเกรสและคนในพรรครีพับลิกันเอง ซึ่งวิธีนี้น่าจะดีที่สุด เพราะคงไม่มีใครอยากเห็นความรุนแรงและความไร้เสถียรภาพเกิดขึ้น