วันนี้ (13 พ.ค.2564) นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แถลงข่าวสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในเรือนจำและทัณฑสถานว่า ตัวผู้ติดเชื้อข้อมูลของวันที่ 12 พ.ค.นี้ พบผู้ติดเชื้อในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 1,794 คน ทัณฑสถานหญิงกลาง 1,039 คน ซึ่งเป็นยอดผู้ติดเชื้อทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดระลอกใหม่ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา และได้รายงานให้กับศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)แล้ว
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวอีกว่าเมื่อพบผู้ติด COVID-19 ในเรือนจำได้ย้ายผู้ติดเชื้อไปยังโรงพยาบาลแม่ข่ายในทันที รวมทั้งแจ้งไปยังญาติผู้ต้องขังเป็นการเฉพาะราย ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้ต้องขังว่าต้องการแจ้งญาติหรือไม่ พร้อมทั้งเร่งขยายผลการสอบสวนโรคจากผู้ติดเชื้อดังกล่าวไปยังผู้ต้องขังที่อยู่ในระยะพื้นที่รับเชื้อทุกราย
โดยจะตรวจซ้ำยืนยันภายใน 7 วัน และ 14 วัน และกรณีที่พบผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการหรือเป็นกลุ่มสีเขียว เรือนจำใดที่มีจำนวนผู้ต้องขังติดเชื้อจำนวนมากสามารถขออนุญาตผู้ว่าราชการจังหวัดในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่เรือนจำ ภายใต้ความเห็นชอบของฝ่ายปกครองพื้นที่สาธารณสุขจังหวัด โดยจะต้องจัดเตรียมบุคลากร สถานที่ อุปกรณ์ เครื่องมือทางการแพทย์ให้พร้อม
นายอายุตม์ กล่าวว่า กรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว คือ 1. Bubble and Seal เรือนจำที่มีการระบาดใหญ่จะลดการรับตัวผู้ต้องขังรายใหม่ลง โดยส่งเรื่องพิจารณาให้ศาลทราบและพิจารณาหนทางต่าง ๆ ที่อาจเป็นไปได้ รวมถึงการไต่สวนทางระบบ Conference เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งผู้ต้องขังไปศาล 2. คัดกรองรายใหม่ก่อนเข้าเรือนจำ ทั้งผู้ต้องขังเข้าใหม่ ออกศาล หรือกลับจากโรงพยาบาลเป็นเวลาอย่างน้อย 21 วัน และเร่งตรวจหาเชื้อโดยเร็วที่สุด และตรวจซ้ำอีกครั้งก่อนจะจำหน่ายจากแดนกักควบคุมโรคไปยังแดนทั่วไป และ 3. เจ้าหน้าที่เรือนจำทุกแห่งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องได้กำชับให้อยู่ในพื้นที่บ้านพักลดการสัมผัสกับครอบครัว และต้องเข้ารับตรวจ Swab ค้นหาการติดเชื้อที่อาจรับเชื้อมาโดยไม่รู้ตัวโดยวิธี RT- PCR ทุก 14 วัน
อ่านข่าวเพิ่ม "ราชทัณฑ์" ตรวจโควิดผู้ต้องขังเชิงรุกพบติดเชื้อ 2,835 คน
แจง ”รุ้ง-ปนัสยา"ไม่พบเชื้อในเรือนจำ
นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า กรณีของน.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง ที่ออกมาเปิดเผยว่าติดเชื้อ COVID-19 กรมราชทัณฑ์ ได้ตรวจหาเชื้อเชิงรุกในผู้ต้องขังทัณฑสถานหญิงกลางแบบ 100% รวมทั้ง น.ส.ปนัสยา ตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย.นี้ โดยผลตรวจออกมาเป็นลบ ไม่มีเชื้อ COVID-19 และยังได้กักตัวน.ส.ปนัสยา อย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย.-5 พ.ค.ที่ผ่านมา
น.ส.ปนัสยา ไม่ได้ออกไปภายนอกเรือนจำหรือทำกิจกรรมใดๆ จนกระทั่งได้รับปล่อยตัวไปเมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา อีกทั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ค.นี้ กรมราชทัณฑ์ ได้ตรวจหาเชื้อเชิงรุก 100% อีกครั้งในแดนที่น.ส.ปนัสยา กักตัวอยู่ ซึ่งไม่พบว่ามีผู้ต้องขังคนใดที่อยู่ร่วมกันติดเชื้อ COVID-19
ส่วนกรณีของนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ แกนนำกลุ่มราษฎร ที่ต้องตรวจ COVID-19 ก่อนนำตัวขึ้นศาลเพื่อให้ได้ผลตรวจล่าสุดวันนี้ (13 พ.ค.) ผลการตรวจนายภาณุพงศ์ พบว่าติดเชื้อCOVID-19 ตอนนี้ได้ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อ่านข่าวเพิ่ม 7 นักโทษทางการเมืองติด COVID-19 ในเรือนจำ
สกัด COVID-19“ลาดยาวโมเดล”
นายวีระกิตติ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่น่ากังวลในการแพร่ระบาดครั้งนี้ คือเรื่องของสายพันธ์ุที่มีความไวต่อการติดเชื้อได้สูง แสดงอาการช้า และมีภาวะแทรกซ้อนอันตราย ซึ่งนับเป็นเรื่องใหม่ที่กรมราชทัณฑ์ต้องเผชิญ อีกทั้งทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ อาจจะมีบุคลากรเฉพาะด้านที่ไม่เพียงพอกับการดูแลผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งได้มีการเร่งจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือเพิ่มเติมได้แก่ เวชภัณฑ์ ยาต้านไวรัส Favipiravir ที่ยังอยู่ในระหว่างการขอรับการอนุเคราะห์จากกระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ เช่น โรงเรียนแพทย์ต่างๆ องค์การเภสัชกรรม ยากลุ่มพิเศษอยู่นอกบัญชียาหลักซึ่งมีราคาสูง อยู่ในระหว่างขออนุมัติการจัดซื้อจากกรมราชทัณฑ์ อุปกรณ์เครื่องมือ เช่น เครื่องช่วยหายใจ พร้อมระบบ High flow oxygen จำนวนอย่างน้อย 5 -15 เครื่อง
รวมทั้งวัสดุในการตรวจคัดกรองเชื้อ เช่น ชุด PPE ชุด Rapid test สำหรับตรวจ Antigen และ Antibody, พัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เช่น พัดลม อาจเป็นพัดลมไอน้ำถ้ามีการบุพลาสติกใสผนังลูกกรงห้อง โทรทัศน์ เพื่อสร้างความสงบใจในโอกาสที่เจ็บป่วยแล้วมากักตัวอยู่ร่วมกันจำนวนมาก รวมถึงระบบไฟฟ้า และประปา น้ำยาทำความสะอาด ของใช้อื่น ๆ และระบบการกำจัดขยะติดเชื้อที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งต้องเร่งดำเนินการจัดหาเพื่อเตรียมความพร้อม
สำหรับการคัดกรองเชิงรุกแบบ 100%ได้รับการอนุเคราะห์รถพระราชทานวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ มาสนับสนุนการตรวจวิเคราะห์ ทำให้สามารถแยกกลุ่มเป้าหมายที่ติดเชื้อและกลุ่มที่ยังไม่ติดเชื้อแยกจากกันได้อย่างทันที จึงเป็นประโยชน์ในเชิงระบาดวิทยาในการควบคุมโรค รวมถึงการ X-ray ปอดทุกรายโดยรถพระราชทานจะทำให้ค้นหาผู้ป่วยรายที่มีภาวะแทรกซ้อนปอดอักเสบได้รวดเร็ว นำไปสู่การเริ่มยาแบบก้าวหน้าตั้งแต่เริ่มต้นจะลดผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และลดอัตราการเสียชีวิต
โดยหลังจากนี้จะเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลสนาม ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ให้สามารถรองรับผู้ป่วยระดับสีแดง อาการหนัก โดยจะติดตั้งระบบ High Flow Oxygen และเครื่อง Ventilator ประมาณ 5–10 เตียง เพื่อรองรับไว้ และสำรองยาที่ใช้รักษาให้เพียงพอตลอด รวมถึงเตรียมเสนอให้มีการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังในรายที่ไม่ติดเชื้อ และไม่มีภูมิต้านทาน โดยเริ่มต้นในกลุ่มผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว หรือค่า BMI สูง จนครอบคลุมผู้ต้องขังทุกรายในที่สุด ยึดหลักความเท่าเทียมในด้านการรักษาพยาบาล แม้จะอยู่ในสถานะผู้ต้องขังก็ตาม โดยเรียกการบริหารสถานการณ์ครั้งนี้ว่าลาดยาวโมเดล
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ด่วน! "ไมค์ ระยอง" ติด COVID-19 ในเรือนจำ
กางสถิติ! โควิด "เรือนจำ" ทั่วโลกเกิน 8 แสน ไทยพบติดเชื้อ 357 คน