วันนี้ (1 ส.ค.2564) รายงานข่าวจากที่ประชุม ศบค.เปิดเผยว่า ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบ ยกระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร
ปรับ "พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด" หรือ สีแดงเข้ม จาก 13 จังหวัด เพิ่มอีก 16 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด คือ
กาญจนบุรี ตาก นครนายก นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี สมุทรสงคราม สระบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง
ลดจำนวน "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" หรือ สีแดง จาก 53 จังหวัด เหลือ 37 จังหวัด คือ กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ บุรีรัมย์
พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก มหาสารคาม ยโสธร ระนอง ร้อยเอ็ด ลำปาง ลำพูน เลย ศรีษะเกษ สกลนคร สตูล สระแก้ว สุโขทัย สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุดรธานี อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ
ส่วน "พื้นที่ควบคุม" หรือ สีส้ม เพิ่มจาก 10 จังหวัด เป็น 11 จังหวัด คือ กระบี่ นครพนม น่าน บึงกาฬ พะเยา พังงา แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน และ สุราษฎร์ธานี
นอกจากนี้ ศบค.ปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ตามระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อย
พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
ห้ามออกนอกเคหะสถานเวลา 21.00 - 04.00 น. งดให้บริการขนส่งข้ามเขตจังหวัด ให้ตั้งด่านสกัดระหว่างเขตจังหวัด ห้ามจัดกิจกรรมมากกว่า 5 คนขึ้นไป ห้ามอาหารบริโภคในร้าน ให้ขายแบบนำกลับไปบริโภคที่อื่น เปิดได้ถึง 20.00 น. งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน
การขายอาหารในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าให้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มโดยให้บริการแบบเดลิเวอรี่
ส่วนร้านขายยา เวชภัณฑ์ ซูเปอร์มาเก็ต ปิดเวลา 20.00 น. ให้ปิดร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม สถานที่เล่นกีฬา หรือแข่งขันกีฬา และห้ามใช้อาคารสถานที่ของสถานศึกษาทุกระดับ สถาบันกวดวิชา เพื่อจัดการเรียนการสอนกิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก
พื้นที่ควบคุมสูงสุด
ให้ตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ หรือจุดสกัด เพื่อตรวจคัดกรองการเดินทาง ห้ามจัดกิจกรรมมากกว่า 20 คน บริโภคอาหารในร้านอาหารได้ เปิดไม่เกินเวลา 23.00 น.และงดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า เปิดบริการได้ตามเวลาปกติ โดยจำกัดจำนวนคนและงดกิจกรรมส่งเสริมการขาย
ร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม เปิดบริการได้ตามปกติ และให้ใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอน กิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณา สถานที่เล่นกีฬาหรือแข่งขันกีฬา เปิดได้ทุกประเภท เปิดไม่เกิน 21.00 น. และจำกัดผู้ชม
พื้นที่ควบคุม
ไม่จำกัดการเดินทาง ห้ามจัดกิจกรรมมากกว่า 50 คน ร้านอาหารให้บริโภคในร้านได้ และเปิดได้ตามปกติ งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน ศูนย์การค้าเปิดได้ตามปกติ ปิดส่วนเครื่องเกมส์ สวนสนุก ร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม เปิดได้ตามปกติ
ให้ใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนได้ ภายใต้มาตรการป้องกันโรคที่ราชการกำหนด และสถานที่เล่นกีฬาหรือแข่งขันกีฬา เปิดได้ตามเวลาปกติทุกประเภท จัดการแข่งขันโดยจำกัดผู้ชม
เข้มมาตรการบับเบิลแอนด์ซีล
ล่าสุด เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น.ที่ผ่านมา พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค.กล่าวว่า ในการประกาศเพิ่มจังหวัดอีก 16 จังหวัด เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยหลักคือ การงดการเดินทางเคลื่อนย้ายและลดกิจการและกิจกรรมที่จะนำไปสู่การแพร่ระบาดของโรค โดยคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชน
ขณะที่ ร้านจำหน่ายอาหารในห้างสรรพสินค้า สามารถเปิดให้บริการเดลิเวอรี่ได้ ทั้งนี้ข้อกำหนดจะมีผลในวันที่ 3 ส.ค.64 ระยะเวลา 14 วัน โดยจะประเมินในวันที่ 18 ส.ค.และอาจจะพิจารณาซ้ำหากสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วงอาจจะยืดไปถึงวันที่ 31 ส.ค.
นอกจากนี้ยังมีการยกระดับการควบคุมโรคในสถานประกอบกิจการ ได้แก่ โรงงาน แคมป์แรงงาน และบริษัท ใช้มาตรการบับเบิลแอนด์ซีลในพื้นที่จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม
หลังกระทรวงสาธารณสุขได้รายงานการแพร่ระบาดของโรคอย่างต่อเนื่องในโรงงานขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยมีขนาดบุคลากร 500 คนขึ้นไป โดยเน้นย้ำไม่เฉพาะโรงงานที่มีการแพร่ระบาดแล้วเท่านั้น แต่จะครอบคลุมไปยัง โรงงาน แคมป์แรงงาน และบริษัท ที่ยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อและรายงานการแพร่ระบาดด้วย
ทั้งนี้ได้มีการออกคู่มือมาตรการบัลเบิลแอนด์ซีลให้ทุกจังหวัดด้วย โดยเน้นยึดหลัก "จัดกลุ่ม คุมไว ลดแพร่กระจาย รายได้ไม่สูญเสีย" ซึ่งมีการปรับให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพไปพร้อมกับการควบคุมโรค โดยมีการหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน
กระจายวัคซีนไฟเซอร์ครอบคลุมแพทย์อย่างเป็นธรรม
พญ.อภิสมัย ยังกล่าวว่า การกระจายวัคซีนไฟเซอร์ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะเข้ม 3 ซึ่งมีความกังวลว่าการกำหนดเงื่อนไขของกระทรวงสาธารสุขนั้นครอบคลุมอย่างไร
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า กระทรวงได้จัดทำแบบสำรวจความต้องการวัคซีนไฟเซอร์ในการกระตุ้นภูมิเข้ม 3 พบว่า มีความต้องการราว 400,000 โดส โดยแพทย์ส่วนหนึ่งได้รับการกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกาไปแล้วรวมประมาณ 1 แสนโดส และจะกระจายอย่างทั่วถึงทั้งแพทย์ พยาบาล บุคลากรต่าง ๆ รวมถึง อสม.
ขณะที่ การฉีดวัคซีนให้กับแพทย์จะไม่เฉพาะแพทย์ที่ดูแลระบบทางเดินหายใจ อายุรแพทย์ หรือ แพทย์คอ หู จมูก เนื่องจากที่ประชุมสาธารณสุขตระหนักว่า บุคลากรทางการแพทย์มีความเสี่ยงทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ทำงานในห้องคลอด กุมารแพทย์ รังสีแพทย์ ทันตแพทย์ หรือแพทย์ห้องไอซียู โดยเน้นย้ำว่าจะกระจายวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์อย่างครอบคลุมและเป็นธรรม