วันนี้ (17 ธ.ค.2564) นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ รับมอบอำนาจจากบริษัท ไฮ-พลัส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ตรวจสอบ และดำเนินคดีกับนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช
พร้อมทั้งนายดำรัส โพธิ์ประสิทธิ์ ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ในข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
ร้องกรมอุทยานฯ ไม่ส่งมอบพื้นที่สร้างท่าเรือ
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 31 พ.ค.2562 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และบริษัท ไฮ-พลัส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ทำสัญญาซื้อขาย “โครงการการจัดหาท่าเทียบเรือลอยน้ำ” เพื่อควบคุมการเข้า-ออกของเรือ ในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ พร้อมติดตั้ง จำนวน 1 ชุด ด้วยการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ ราคา 49,630,000 บาท มีกำหนดส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายภายใน 90 วัน หรือภายในวันที่ 29 ส.ค.2562
หลังจากบริษัท ไฮ-พลัส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ทำหนังสือแจ้งให้กรมอุทยานฯ ส่งมอบพื้นที่ให้บริษัทฯ เพื่อดำเนินการตามสัญญาหลายครั้ง แต่กรมอุทยานฯ ก็เพิกเฉย แต่ต่อมากลับมีหนังสือแจ้งว่า จะปรับบริษัทฯ ตามสัญญา ซึ่งบริษัทฯ ได้ชี้แจงให้กรมอุทยานฯ ทราบแล้วว่า เป็นเพราะกรมอุทยานฯ ยังไม่ส่งมอบพื้นที่หน้างานให้แก่บริษัทฯ บริษัทมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา
กรมอุทยานฯ ไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับ และที่สำคัญคือ กรมอุทยานฯ ยังมิได้ก่อสร้างทางเดินรับท่าเทียบเรือลอยน้ำ สำหรับให้สะพานท่าเทียบเรือลอยน้ำของบริษัทฯ มาเชื่อมต่อ
ที่สุดกรมอุทยานฯ ได้มีหนังสือตอบบริษัทฯ ว่า ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่หน้างานให้บริษัทฯ ได้ เพราะกรมอุทยานฯ ยังสร้างทางเดินรับท่าเทียบเรือลอยน้ำไม่แล้วเสร็จจริง หากเสร็จเมื่อใดจึงจะส่งมอบพื้นที่หน้างานให้บริษัทฯ จากนั้น บริษัทฯ จึงได้ทำหนังสือถึงกรมอุทยานฯ ขอขยายสัญญาเป็น 90 วัน
ส่งมอบพื้นที่แต่พบทางเชื่อมรับน้ำหนักไม่ได้
ต่อมากรมอุทยานฯ ได้ส่งมอบพื้นที่หน้างานให้กับบริษัทฯ เมื่อบริษัทฯ เข้าพื้นที่เพื่อดำเนินการติดตั้งสะพานเข้ากับทางเดินรับท่าเทียบเรือลอยน้ำ แต่กลับไม่สามารถติดตั้งได้ เพราะกรมอุทยานฯ สร้างทางเดินรับท่าเทียบเรือลอยน้ำยาวเลยคานคอนกรีตออกมาประมาณ 2 เมตร ทำให้ไม่สามารถรับน้ำหนักสะพานท่าเทียบเรือลอยน้ำสแตนเลส ซึ่งมีน้ำหนักถึง 2.1 ตันได้ อาจทำให้โค่นล้ม หรือพังทลายลง
วันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา บริษัทฯ จึงได้แจ้งอุปสรรคในการดำเนินงานครั้งที่ 1 ให้กับกรมอุท ยานฯ ทราบ และเสนอให้ตัดรื้อทางเดินเฉพาะส่วน ที่ยื่นออกมาจากคานคอนกรีต เพื่อให้ติดตั้งสะพานท่าเทียบเรือลอยน้ำได้ แต่กรมอุทยานฯ ก็เพิกเฉย
กระทั่งในวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่าน บริษัทฯ ก็ได้มีหนังสือทวงถาม ขอให้กรมอุทยานฯ ส่งมอบพื้นที่หน้างานที่แก้ไขแล้วให้กับบริษัทฯ ขณะเดียวกันคณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้ไปตรวจสอบวัสดุอุปกรณ์ท่าเทียบเรือลอยน้ำของบริษัทฯ แล้ว ผลการตรวจถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์เป็นไปตามสัญญาทุกประการ
อ่านข่าวเพิ่ม เปิด "อ่าวมาหยา" ห้ามเล่นน้ำรบกวนฉลามหูดำจำกัดรอบละ 375 คน
กรมอุทยานฯ ไม่ตัดทางเดิน
ต่อมาวันที่ 12 พ.ค.กรมอุทยานฯ ได้มีหนังสือถึงบริษัทฯ แจ้งว่าบริษัทฯ ไม่ได้กำหนดรูปแบบ และวิธีการตัดทางเดินรับท่าเทียบเรือลอยน้ำ ซึ่งบริษัทฯ ขอชี้แจงว่า ไม่ใช่งาน หรือหน้าที่ตามสัญญาของบริษัทฯ แต่อย่างใด
จากข้อเท็จจริงดังที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าสาเหตุที่บริษัทฯ ไม่สามารถติดตั้งท่าเทียบเรือลอยน้ำได้นั้น เป็นเพราะกรมอุทยานฯ ยังมิได้ตัดทางเดินรับท่าเทียบเรือลอยน้ำส่วนที่ยื่นออกมายาวประมาณ 2 เมตร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือกรมอุทยานฯ ยังมิได้ส่งมอบหน้างานที่เสร็จเรียบร้อยพร้อมที่จะให้บริษัทฯ ดำเนินการติดตั้งสะพานท่าเทียบเรือลอยน้ำ
จากนั้น กรมอุทยานฯ ได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริง และในวันที่ 9 มิ.ย.2564 คณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริง ได้มีการพิจารณาให้ตัดทางเดินรับท่าเทียบเรือลอยน้ำที่ยื่นออกมายาวประมาณ 2 เมตรนั้น
ทั้งนี้ วิศวกรโยธาในคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริง มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรให้มีการเสริมความแข็งแรงของทางเดินรับท่าเทียบเรือลอยน้ำดังกล่าว และในวันที่ 1 ก.ค.2564 คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ และบริษัทฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจพัสดุปรากฏว่าวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการติดตั้งท่าเทียบเรือลอยน้ำของบริษัทฯ ครบถ้วนเป็นไปตามสัญญาทุกประการ
แต่หลังจากนั้น บริษัทฯ ทราบมาว่า กรมอุทยานฯ ได้นำแบบก่อสร้างทางเดินรับท่าเทียบเรือลอยน้ำ ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานวิศวกรรมนำมาประมูลจ้าง และก่อสร้างจนแล้วเสร็จมาถึงปัจจุบัน
อ่านข่าวเพิ่ม ชงเลื่อนเปิด "อ่าวมาหยา" ท่าเรืออ่าวโล๊ะซามะเสร็จไม่ทัน 1 ม.ค.65
บริษัทระบุทางเดินผิดแบบอันตรายถึงชีวิต
บริษัทฯ เห็นว่าหากนำท่าเทียบเรือลอยน้ำไปเชื่อมต่อ กับทางเดินรับท่าเทียบเรือลอยน้ำดังกล่าว อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุเสียหายถึงแก่ชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน และนักท่องเที่ยว บริษัทฯ อาจโดนข้อหาประมาทร่วม จนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต บริษัทฯ จึงมีหนังสือถึงกรมอุทยานฯ ให้มีการแก้ไขทางเดินรับท่าเทียบเรือลอยน้ำดังกล่าว แต่ปรากฏว่า กรมอุทยานฯ ก็ยังคงเพิกเฉยมาตลอด
จนถึงวันนี้มีผู้รับเหมาที่ไม่ทราบว่า ผ่านกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และมีใบอนุญาตดัดแปลงโครงสร้างจากกรมเจ้าท่าโดยชอบหรือไม่ เข้ามาดำเนินการแก้ไขโครงสร้างสะพานโดยพลการ จนคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร เข้าตรวจสอบพบเห็นว่า มีการกระทำการดังกล่าวจริง
และวิศวกรโยธาให้ความเห็นว่า การปรับปรุงโครงสร้างดังกล่าวเป็นการดำเนินการที่ผิดหลักวิศวกรรม เนื่องจากมีการสกัดโครงสร้างเดิมออก ทำให้ความสามารถรับกำลังลดน้อยลงทันที คอนกรีตจะไม่เป็นเนื้อเดียวกัน จึงเป็นอันตรายอย่างมากต่อความปลอดภัยของโครงสร้างท่าเทียบเรือสาธารณะแบบนี้ อาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน จนทำให้โครงสร้างอาจพังทลายใส่นักท่องเที่ยวถึงแก่ชีวิตได้
ทำหนังสือร้องเรียนไปหลายแห่ง
ต่อมา ในวันที่ 3 ส.ค.2564 บริษัทฯ จึงได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ก็เพิกเฉย ในวันที่ 15 ต.ค.2564 จึงได้ไปยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1938/2564 ระหว่าง บริษัท ไฮ-พลัส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ฟ้องคดี กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ผู้ถูกฟ้องคดี และในวันที่ 29 พ.ย.2564 บริษัทฯ ได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบ และดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนจนถึงที่สุด
สำหรับโครงการทางเดินรับท่าเทียบเรือลอยน้ำ บริเวณอ่าวโล๊ะซะมะ ทราบมาว่า สำนักฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์ ได้ตรวจสอบแบบแปลนแล้ว มีความเห็นว่า เป็นโครงสร้างที่ถูกควบคุมโดย พ.ร.บ.วิศวกร พ.ศ.2522 หน่วยงาน และวิศวกรผู้ออกแบบ จะต้องมีอำนาจหน้าที่ และได้รับใบอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว
เสาเข็ม คานคอนกรีตเสริมเหล็ก ไม่เป็นไปตามมาตรฐานงานฐานเสาเข็ม รายละเอียดขัดแย้งกัน ไม่สามารถนำไปก่อสร้างได้ ไม่สามารถกำหนดระดับความสูงสิ่งก่อสร้างที่แน่นอนได้ ไม่อาจคำนวณจำนวนเข็มในการรับน้ำหนักแต่ละจุดได้ อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โครงสร้าง และราคางานเสาเข็ม ฐานราก ประมาณการสูงกว่าราคามาตรฐานของทางราชการมาก
ทั้งนี้ ทางสำนักฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์ ได้แจ้งให้กรมอุทยานฯ ทราบถึงความเห็น และผลกระทบที่จะตามมาแล้ว แต่กรมอุทยานฯ กลับไม่สนใจแต่อย่างใด จึงทำให้ต้องมายื่นหนังสือร้องเรียนในวันนี้
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า จะไปตรวจสอบตามคำร้อง ว่าเป็นไปตามที่ร้องเรียนหรือไม่ แต่ไม่สามารถบรรจุได้ทันการประชุมกรรมาธิการปี 2564 นี้ เพราะได้บรรจุระเบียบวาระล่วงหน้าไปแล้ว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดคลิป "ฉลามหูดำ" อ่าวมาหยา "ธรณ์" แนะเปิดอ่าวได้ แต่ต้องไม่รบกวน
“วราวุธ” สั่งเปิด “อ่าวมาหยา” ให้ท่องเที่ยวได้ 1 ม.ค.65