ละครย้อนประวัติศาสตร์ "จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี" ที่ว่าด้วยความรัก ความสัมพันธ์ของคนไทย และเมียนมา ที่มองไปไกลกว่าสงคราม ออกอากาศทางไทยพีบีเอส เริ่มถ่ายทำตั้งแต่ปี 2563 หลังเผชิญกับการระบาดของไวรัส COVID-19 เวลานั้นไม่มีใครคาดคิดว่าเมียนมาจะเดินหน้าเข้าสู่รัฐประหาร วิกฤตการเมือง และการลี้ภัยสงคราม
การจับกุมและปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรงทำให้ชาวเมียนมาในไทย ต่างออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านรัฐประหารไปพร้อม ๆ กับการเคลื่อนไหวในประเทศ รวมถึง 2 นักแสดงนำของเรื่องจากเมียนมาอย่าง เดาง์ ศิลปินชื่อดัง และนีน ตเว ยูออง มิสยูนิเวิร์สเมียนมาปี 2018
"ชาติชาย เกษนัส" ผู้กำกับละครจากเจ้าพระยาสู่อิรวดี บอกกับไทยพีบีเอสว่า ต้องยอมรับว่านักแสดง 2 ตัวหลักมีจุดยืนกับการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง และเขาไม่สามารถทิ้งจุดยืนตรงนี้ได้ ในขณะที่เรายังต้องทำงานอยู่ อีกฝั่งหนึ่งมีเหตุการณ์ความรุนแรง มีคนตายจริง ๆ และมีความขัดแย้งที่รุนแรงมาก
เราพยายามปลอบโยนเขา เพราะเพื่อนเขาถูกจับ เราต้องพยายามคุยกับเขาว่า เราก็เป็นนักรบเหมือนกัน เพียงแต่อาวุธที่ใช้รบคืองานที่ทำ คุณเป็นศิลปินใช้ศิลปะ การทำงานได้ แต่ไม่ได้หมายถึงให้ใช้ละครเรื่องนี้ไปขับเคลื่อนการเมือง แต่ศิลปะทุกอย่าง นอกจากจรรโลงใจแล้ว ยังยกระดับจิตใจด้วย
เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ปีที่แล้ว รัฐบาลทหารเมียนมา ออกหมายจับ นีน ตเว ยูออง และอีก 3 สัปดาห์ต่อมา เดาง์ ถูกออกหมายจับด้วยข้อหาที่คล้ายคลึงกัน คือยุยง ปลุกปั่น และให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐประหาร เช่นเดียวกับศิลปิน นักร้อง นักแสดงมากกว่า 100 คนในเมียนมา ไม่เพียงนักแสดงทั้งสองจะไม่สามารถกลับบ้านเกิดได้ แต่ละครจากเจ้าพระยาสู่อิรวดี ก็ไม่สามารถไปฉายในเมียนมาได้
ผู้กำกับละครจากเจ้าพระยาสู่อิรวดี ระบุว่า ถึงแม้จะออนแอร์ที่เมียนมาไม่ได้ แต่เนื้อเรื่องของละครไม่ได้มีส่วนใดกระทบกระทั่งใคร จึงอยากฝากถึงคนเมียนมาว่าสามารถดูได้ทุกคน เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "เราจะบอกว่า เราคือมนุษย์ และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์มันสูงค่า"
มันไม่มีหรอกสวรรค์ข้างบนน่ะ แล้วก็ไม่มีหรอกนรกเบื้องล่าง เรามีแค่กันและกันตรงนี้ ในผืนดินนี้
หนึ่งในท่อนร้องของเพลง จอห์น เลนนอน บอกว่า ตรงนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าใครจะทำอะไร ไม่ว่าคุณจะยืนอยู่ตรงไหน ที่สำคัญที่สุดคือ เราจะอยู่ร่วมกันแบบพี่น้อง จะอยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจกัน และให้กันและกัน ไม่ใช่แค่ให้อย่างเดียว แต่รู้จักที่จะรับด้วย รวมถึงรู้จักที่จะรักอย่างแท้จริง "หากปราศจากจุดนี้ เราจะไม่เหลืออะไรเลย"
"พม่าไม่เหมือนอย่างที่เราคิด" คือประโยคที่ทำให้ "ชาติชาย เกษนัส" อยากค้นหาเมียนมามากขึ้น และมองเมียนมาผ่านเลนส์กล้องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แล้วพบว่า ธุรกิจภาพยนตร์เมียนมากำลังฟื้นตื่นขึ้นมา เริ่มมีการสร้างออริจินัลคอนเทนต์ โรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้น ผู้กำกับหน้าใหม่เกิดขึ้นในวงการมากมาย พร้อมกับดาราหน้าใหม่
เราก็ดีใจที่เหมือนกับได้เติบโตไปกับก้าวย่างของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในเมียนมา แต่ต้องสะดุดเพราะโควิด-19 และรัฐประหารเมียนมา
"ชาติชาย เกษนัส" ทิ้งท้ายกับไทยพีบีเอสว่า ขณะนี้มองไปทางไหนก็มองไม่เห็นอนาคต และไร้ความหวัง ซึ่งผู้มีอำนาจต้องรีบนำความหวังกลับมาโดยไว เพราะในดินแดนที่ไร้ความหวัง มีแต่ความหดหู่ ไม่มีทางที่จะทำมาค้าขึ้น ไม่มีทางที่จะทำให้ประชาชนมีความสุข "นี่คือสิ่งที่ผมเห็น และเสียดายมาก เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับไปทำงานกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง"