วันนี้ (18 ม.ค.2565) นางพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยาของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวกระเหรี่ยง บ้านโป่งลึก บางกลอย เข้าพบนายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เพื่อขอบคุณและสอบถามความคืบหน้าในคดีพิเศษที่ 13/2562 กรณี การหายตัวไปของนายพอละจี โดยนางพิณนภา ขอบคุณการทำงานของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ และเชื่อมั่นในอธิบดีดีเอสไอ ที่จะให้ความยุติธรรม เพราะคดีนี้ผ่านล่วงเลยมานานหลายปีแล้ว
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เปิดเผยว่า คดีนี้ เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2564 พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในสมัยนั้น ลงพื้นที่ไปให้กำลังใจ พร้อมแจ้งความคืบหน้าของคดีกับนางพิณนภา มีใจความสำคัญ ระบุว่า พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับหนังสือจากสำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2564 ให้สอบสวนเพิ่มเติมใน 4 ประเด็น
โดยเฉพาะโลหิตสารพันธุกรรม ฝ่ายมารดาของนายพอละจี เครื่องมือพิเศษที่สามารถค้นหา ตรวจพบโครงกระดูกของนายพอละจี ใต้น้ำ บริเวณใกล้กับสะพานแขวน ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และผลทางนิติวิทยาศาสตร์ของกระดูกเพิ่มเติม โดยได้กำชับพนักงานสอบสวน ตรวจสอบโดยละเอียด รอบคอบ เนื่องจากก่อนหน้านี้ พนักงานสอบสวน สรุปสำนวนเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา รวม 4 คน แต่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาบางคนในบางข้อหา
ขณะที่ นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีดีเอสไอ บอกว่า ขณะนี้ได้สอบสวนพยานบุคคล รวม 7 ปาก ใน 4 ประเด็น ตามที่อัยการสั่งให้ ดีเอสไอ สอบสวนเพิ่มเติม ประกอบด้วย การสอบปากคำเจ้าหน้าที่เทคนิคพิเศษ ที่เข้าไปเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน
สอบปากคำเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ ที่ตรวจสอบหลักฐานทั้งหมด ที่รวบรวมได้ในคดีนี้ ตรวจสอบพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้เพิ่มเติม และตรวจสอบความสัมพันธ์ความเชื่อโยงของกลุ่มเครือญาติที่เกี่ยวข้องกับนายพอละจีทั้งหมด
ล่าสุดการสอบสวน 4 ประเด็นดังกล่าว ได้สอบสวนครบถ้วน ทั้ง 4 ประเด็น ตามที่อัยการสั่งสอบเพิ่มเติม และได้ส่งสำนวนกลับไปยังอัยการสูงสุด พิจารณาสั่งคดีต่อแล้ว
คดีนี้ดีเอสไอ จะให้ความเป็นธรรม เพราะถือเป็นคดีสำคัญ โดยเฉพาะในส่วนของการดูแลครอบครัวนายพอละจี ซึ่งถือเป็นพยานสำคัญของคดีด้วย