วันนี้ (10 ก.พ.2565) นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจพฤติกรรมใช้จ่ายวันวาเลนไทน์ วันที่ 14 ก.พ.2565 จากประชาชนทั่วประเทศ 1,245 คน ระหว่างวันที่ 2-8 ก.พ.2565 พบว่าส่วนใหญ่กว่า 51% มองว่าบรรยากาศวาเลนไทน์ปีนี้คึกคักน้อยลงกว่าปีก่อน เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจแย่ลง ราคาสินค้าแพงขึ้น การแพร่ระบาดโควิด-19 รายได้ลดลง ความกังวลเรื่องความปลอดภัย และตกงาน
ประชาชน 83% เตรียมจะฉลองกับคู่รักในที่พักบ้านแทนการออกนอกบ้าน เฉลี่ยการใช้จ่ายต่อคนประมาณ 1,176 บาท จึงประเมินว่ายอดเงินใช้จ่ายวาเลนไทน์ปีนี้มีมูลค่า 2,068 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีมูลค่า 2,560 ล้านบาท หรือลดลง 19.20% เป็นมูลค่าต่ำสุดในรอบ 15 ปี
ขณะที่การสำรวจพบว่าน่ากังวลในภาคสังคม คือนักเรียนนักศึกษา ระบุจะมีการเพศสัมพันธ์ในวันวาเลนไทน์ โดยใช้สถานที่โรงแรม และม่านรูด ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นและคนเริ่มทำงาน ระบุการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานเป็นเรื่องปกติสำหรับคนในปัจจุบัน และมองว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานมีจำนวนเพิ่มขึ้น และกว่า 52% ระบุว่ายอมรับได้ หากภรรยาหรือสามีเคยมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน
ขณะเดียวกัน ยังมองว่าปัญหาเด็กและเยาวชนรุนแรงมากขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งเรื่องโสเภณีเด็ก การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ติดยาเสพติด เด็กเร่ร่อน พ่อแม่ไม่มีวุฒิภาวะในการเลี้ยงดู ขาดศีลธรรม การยกพวกตีกัน มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (ใส่ถุงยางอนามัย) การตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน การคลอดแล้วทิ้ง การล่วงละเมิดทางเพศของคนใกล้ชิด และล่อลวงทางสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งรัฐบาลควรเร่งเข้ามาดูแล เพื่อไม่เป็นปัญหาสังคมที่รุนแรงในอนาคต
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า การสำรวจการใช้จ่ายเงินในเทศกาลวันมาฆบูชา วันที่ 16 ก.พ.2565 พบว่ามีทิศทางเดียวกัน ประชาชนระบุจะใช้จ่ายลดลง เนื่องจากกระทบปัญหารายได้ วิตกต่อเศรษฐกิจ การเมือง และการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน รวมถึงเป็นวันหยุดกลางสัปดาห์ คาดเงินสะพัดลดลงเหลือ 1,900-2,000 ล้านบาท จากปีก่อน 2,321 ล้านบาท หรือมูลค่าต่ำสุดในรอบ 7 ปี
อย่างไรก็ตาม พบว่าการสำรวจใช้จ่ายตามเทศกาลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตั้งแต่ปีใหม่ ตรุษจีน ซึ่งพบว่ากังวลต่อเรื่องราคาของแพง ห่วงการจ้างงาน และรายได้ในอนาคต ทำให้ระมัดระวังใช้จ่าย รวมกับสถานการณ์ล่าสุด เริ่มกังวลต่อจำนวนการแพร่ระบาดของโอมิครอนรายวันสูงขึ้นเกินวันละ 10,000 คน กังวลว่าจะทำให้รัฐใช้มาตรการทางสาธารณสุขที่เข้มขึ้นอีกครั้ง อาจกระทบต่อกิจกรรมปกติ และชะงักการจ้างงาน แม้ว่าในปัจจุบัน อัตราว่างงานอยู่ที่ 2% ยังไม่ถือว่าน่าวิตก
ทั้งนี้ หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น กระทบการจ้างงานและรายได้ในอนาคต อีกทั้งมองเรื่องการเข้ามาดูแลค่าครองชีพและราคาพลังงานที่สูงขึ้น จนกระทบต่อการขนส่งปรับเพิ่ม 20% หากขนส่งเพิ่ม 10% จะมีผลต่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 1-2% ไม่กระทบต่อกรอบเงินเฟ้อ 1.5-2.5% แต่หากขนส่งเพิ่ม 20% ส่งผลต่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 3-4% จะกระทบต่อเงินเฟ้อเกิน 3% ส่วนการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะไม่กระทบต่อการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และการผ่อนชำระหนี้
อ่านข่าวเพิ่มเติม
กทม.ป่วยโควิดเกิน 2,500 คน 2 วันติด - เปิด 10 เขตยอดสูงสุด
"กากัน มาลิค" อุปสมบทแล้ว ได้รับฉายา "อโสโก ภิกขุ"
เก็บกู้บกพร่อง! น้ำมันรั่วรอบ 2 เหตุตกค้างท่ออ่อน 5,000 ลิตร