วันนี้ (22 มิ.ย.2565) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมนามัย กล่าวว่า กรณีที่มียูทูบเบอร์ นำน้ำปลาร้ามายกซดเหมือนเครื่องดื่ม นั้น ห่วงเกิดพฤติกรรมเลียนแบบเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าสามารถนำมาดื่มเป็นเครื่องดื่มได้ แต่เนื่องจากปลาร้าเป็นเครื่องปรุงที่มีโซเดียมสูง จึงไม่ควรนำมาดื่มเพราะกระบวนการทำน้ำปลาร้าผ่านการหมักด้วยเกลือ รำข้าว และถูกแต่งเติมส่วนผสมเพื่อเพิ่มรสชาติ เช่น กะปิ หรือเพิ่มปริมาณด้วยการใส่น้ำเกลือต้ม อีกทั้งผู้จำหน่ายปลาร้ามักจะดัดแปลงเป็นสูตรเฉพาะร้าน ให้ได้กลิ่น รส ตามความต้องการเพิ่ม
การกินปลาร้ามากเกินไปเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ร่างกายเสี่ยงได้รับโซเดียมปริมาณสูง ส่งผลให้เกิดโรค เช่น โรคหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง และโรคไตวายเรื้อรังได้
นอกจากนี้ ข้อมูลปริมาณโซเดียมของเกลือและผงชูรสของปลาร้าแต่ละชนิดทั้งจากโรงงาน วิสาหกิจ และตลาด พบว่า มีปริมาณโซเดียมอยู่ในระดับที่สูงทั้งหมด และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนไทยบริโภคโซเดียมในปริมาณที่สูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ที่กำหนดให้บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา หรือ 5 กรัม หรือเฉลี่ยไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อมื้ออาหาร
พฤติกรรมกินเค็ม ควรฝึกตั้งแต่เด็ก
สำหรับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกินเค็มควรฝึกตั้งแต่เด็ก หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น การกินอาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป ขนมกรุบกรอบ อาหารหมักดอง แช่อิ่ม อาหารกระป๋อง
ทั้งนี้ ยังมีผลการศึกษาทางการแพทย์ที่แสดงให้เห็นว่า การลดบริโภคเกลือลงเหลือเพียง 3 กรัมต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ควรลดเหลือเพียง 3 ส่วน 4 ช้อนชาต่อวัน หรือไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัม เพื่อให้ไตมีสุขภาพดี ป้องกันการเกิดโรคไตวายเรื้อรัง