วันนี้ (31 าส.ค.2565) สำนักข่าว BBC รายงานว่า มิคาอิล กอร์บาชอฟ อดีตผู้นำโซเวียตผู้นำที่ทำให้สงครามเย็นยุติอย่างสันติ เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 91 ปี โรงพยาบาลที่เขาเสียชีวิตกล่าวว่า เขาป่วยหนักและยาวนานในช่วงไม่กี่ปีมานี้
ในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศรายงานว่า เขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังจากป่วยด้วยโรคไต แม้ว่าจะยังไม่มีการประกาศสาเหตุการเสียชีวิตของเขา
นายวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการเสียชีวิตของนายกอร์บาชอฟ ผ่านโฆษกของเขา
เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานสหภาพยุโรปยกย่องเขาว่าเป็น "ผู้นำที่น่าเชื่อถือและเป็นที่เคารพนับถือ" ซึ่ง "เปิดทางสู่ยุโรปที่เสรี" เธอยังกล่าวเพิ่มเติมว่า "มรดกนี้เป็นมรดกที่เราจะไม่ลืม" เธอกล่าวเสริม
นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่าเขาชื่นชมความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ของนายกอร์บาชอฟ
มิคาอิล กอร์บาชอฟ เป็นนักการเมืองชาวโซเวียตรัสเซีย เป็นผู้นำคนที่แปดและคนสุดท้ายแห่งสหภาพโซเวียต ดำรงแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตระหว่างค.ศ. 1985 - 1991 ดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐระหว่างค.ศ. 1988 - 1991
ดำรงตำแหน่งประธานเปรซิเดียมสูงสุดระหว่างค.ศ. 1988 - 1989 และดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีโซเวียตระหว่าง ค.ศ. 1990 - 1991 กอร์บาชอฟเคยมีอุดมการณ์แบบลัทธิมากซ์-เลนิน แต่เปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตยแบบสังคมนิยมในทศวรรษที่ 1990
ในระหว่างการดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค กอร์บาชอฟได้ริเริ่มโครงการปฏิรูปและปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจและการเมืองจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยนโยบายที่รู้จักกันในชื่อ "เปเรสตรอยคา" (Perestroika) เป็นการให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น
ยอมให้มีการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ เพิ่มเสรีภาพแก่สื่อและสิ่งพิมพ์ ยอมให้มีเสรีภาพทางวัฒนธรรม และนโยบาย "กลัสนอสต์" (Glasnost) ที่ยอมให้มีการตรวจแก้ประวัติศาสตร์ของประเทศ
จากที่เขาปรับปรุงระบบเศรษฐกิจและการเมืองให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้นทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1990
ทั้งนี้ นายมิคาอิล กอร์บาชอฟ เป็นผู้นำคนสุดท้ายที่รอดชีวิตจากสงครามเย็นที่ช่วยนำความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับโซเวียต ออกจากภาวะเยือกแข็ง โดยเสียชีวิตในกรุงมอสโก ขณะอายุได้ 91 ปี