ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

นักรัฐศาสตร์คาด "ชาติพัฒนา-กล้า" จับมือกัน "ไร้แรงดึงดูด-ขาดบารมีผู้นำ"

การเมือง
2 ก.ย. 65
11:54
585
Logo Thai PBS
นักรัฐศาสตร์คาด "ชาติพัฒนา-กล้า" จับมือกัน "ไร้แรงดึงดูด-ขาดบารมีผู้นำ"
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
นักวิชาการมอง "ชาติพัฒนา-กล้า" จับมือกัน โอกาสแจ้งเกิดยาก เหตุขาดบารมีผู้นำ เชื่อหวังได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ จากชนชั้นกลางและฐานเสียงหัวเมือง เชื่อประชาชนให้น้ำหนักพรรคขนาดใหญ่ที่มีโอกาสเป็นรัฐบาลมากกว่าพรรคขนาดเล็ก

วันนี้ (2 ก.ย.2565) ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต ให้สัมภาษณ์ในรายการ "ประจักษ์จับประเด็น" ทางไทยพีบีเอส โดยมองถึงการรวมพรรคการเมืองของ พรรคชาติพัฒนาและ พรรคกล้าว่า

เป็นการดิ้นในวินาทีสุดท้าย พรรคการเมืองหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ของไม้ใกล้ฝั่งจะล่มสลายหรือสิ้นสุดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

อีกพรรคเป็นพรรคที่ก่อกำเนิดมาโดยคิดว่าจะได้รับการตอบรับ แต่ตั้งชื่อพรรคก็ไม่ตอบโจทย์ ดูง่าย แต่ในความศักดิ์สิทธิ์ และการตลาดทางการเมืองนั้นจะน่าเลือกหรือไม่

ดังนั้นทั้ง 2 พรรค นี้จึงคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถขยายแนวร่วมหรือหามวลชนเพิ่มเติมได้

หากมองแกนนำทั้ง 2 ฝั่ง ไม่อยากใช้คำว่า เขี้ยวกับเขี้ยวเจอกัน ไม่ง่ายที่จะใช้ภาพของใครในการขับเคลื่อน ไปจนถึงการจัดสรรแบ่งปันอำนาจ

ผศ.วันวิชิตกล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา ทั้งคุณสุวัจน์ แม้จะเคยเป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา และคุณกรณ์ที่เคยเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้วขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคกล้าก็ตามก็ขอให้ยอมรับความจริงว่า ทั้ง 2 คน ไม่ใช่ลักษณะของผู้นำที่ถูกจริตแบบสังคมไทยอาจจะเหมาะสมในการเป็นผู้นำแถว 2 อาจอยู่ในพรรคการเมืองแถว 2 ที่อยู่หลังเงาของผู้นำที่มีคาแรกเตอร์ที่มีบารมี

คุณสุวัจน์ พอใจในบทบาทเลขาธิการพรรค หรือ ทีมงานในยุค พล.อ.ชาติชาย ในยุคที่พรรคชาติพัฒนารุ่งเรือง ขณะที่คุณกรณ์ ก็มีภาพที่จะสวยงามมากหากอยู่ข้างหลังใครที่มีบารมีโดดเด่นในลักษณะของกุนซือด้านเศรษฐกิจ สมัยคุณอภิสิทธิ์ ซึ่งคุณกรณ์ก็ถูกมองว่าเป็นความหวัง

แต่ทั้ง 2 คน เมื่อขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคเอง เช่น พรรคชาติพัฒนาจำนวนเสียง ส.ส.ก็ลดลง รวมถึงทั้งคุณสุวัจน์และคุณกรณ์ในการพูดคุยการเมืองมีลักษณะของการแทงกั๊กค่อนข้างสูง การเล่นการเมืองแบบฟันธง กล้าเสี่ยง ในมุมหนึ่งคือการสยายปีก และบารมีทางการเมืองแบบไทย

ขณะที่การแทงกั๊กเพื่อตอบสนองผลประโยชน์สูงสุดให้กับกลุ่มของตนเอง ก็อาจจะถูกมองข้ามจากกลุ่มการเมืองต่าง ๆ หรือจากสังคม ด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้นแม้จะรวมกันแล้ว พลานุภาพ หรือ หรือความรู้สึกของตลาดทางการเมือง ก็รู้สึกเฉย ๆ นะ

ผศ.วันวิชิต ยังมองว่า ทั้ง 2 พรรค คาดว่ากรณีรวมผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ทั้ง 2 พรรคน่าจะได้อะไรมาบ้าง ไม่ว่าจะโควตาของพรรคกล้า พรือพรรคชาติพัฒนา อาจมี ส.ส.เข้าสภาฯได้บ้าง

ลำพังการเมืองโจทย์ ภาพคุณกรณ์มีความนิยมของกลุ่มคนเมือง ชนชั้นกลาง ในกรุงเทพฯ

ขณะที่ในต่างจังหวัดหัวเมืองใหญ่อย่าง จ.นครราชสีมา ที่มีผู้ใช้เสียงรองแค่ กรุงเทพฯ เท่านั้น เพราะฉะนั้นคุณกรณ์จึงมองว่า ในเขตเมืองโดยเฉพาะเขต 1 เขต 2 และเขต 3 ซึ่งเมื่อเสียงมารวมกันซึ่งต่างฝ่ายก็ต่างหวังในจุดแข็งของกันและกัน

แต่สมรภูมิทางการเมืองเปลี่ยนไป ถูกดิสรัปอย่างหนัก มีคู่แข่งขันมากกว่าเดิม สมัยก่อนเช่น ในโคราช พรรคชาติพัฒนาต้องยืนพื้นอย่างน้อยครึ่งจังหวัด ส.ส. จำนวน 8-12 คน แต่เมื่อ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชาชน พรรคพลังประชารัฐ หรือแม้แต่ พรรคภูมิใจไทย ทำให้ความนิยมในตัวชาติพัฒนาลดลง

ประกอบกับคนรุ่นใหม่ไม่ได้ดื่มด่ำความสำเร็จและผลงาน ในยุค พล.อ.ชาติชาย ซึ่งห่างทิ้งช่วงไม่ได้รับรู้เรื่องอะไร รวมถึงมีพรรคการเมืองใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาทดแทน ซึ่งเป็นโจทย์ใหม่ที่คุณกรณ์ต้องคิดว่าจับมือกับคุณสุวัจน์แล้วจะได้

ขณะที่คุณสุวัจน์ ต้องคิดว่า เมื่อคุณกรณ์ออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ฐานคะแนนนิยมไม่ได้ไหลมากับคุณกรณ์ด้วย แม้ว่าจะมี อดีต ส.ส.ตามมาด้วย แต่เป็นลักษณะเชิงปัจเจก การทำงานหัวคะแนนของพรรคไม่ได้มาด้วย

อยากให้กำลังใจ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไร แต่จะกวักมือเป็นนางกวักให้ใครมาร่วมหอลงโรงด้วย ไม่เชื่อว่าจะมีใครมา จนกว่า 2 คนนี้รวมกันแล้วใครจะเป็นตัวนำ

คุณสุวัจน์ซึ่งอาวุโสมากกว่าจะถอยให้คุณกรณ์เป็นตัวนำหรือไม่ และคาแรกเตอร์ของคุณกรณ์ที่พยายามปรับเป็นคนติดดิน ปลูกบ้าน ทำนาในต่างจังหวัด ซึ่งต้องทำต่อเนื่อง ซึ่งความนิยมของคุณกรณ์ที่ผ่านมาถูกเข้าใจว่าอยู่ในระดับสูง ซึ่งความนิยมต้องเกิดขึ้นในหลายระดับด้วย

ผศ.วันวิชิต ยังกล่าวว่า การที่คาแรกเตอร์ของพรรคชาติพัฒนาพยายามไม่เป็นศัตรูกับใคร ขณะที่อีกคนมีความระมัดระวังตัวเองสูง เช่นคุณกรณ์ ทำให้การจับมือและแนวคิดในการหาเสียงก็อาจจะทับซ้อนกับหลายพรรค

ดังนั้นการรวมกันแล้วยังจะดูที่โครงสร้างกรรมการบริหารพรรค ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดได้เป็นอย่างดีว่าอนาคตพรรคจะเป็นอย่างไร เช่น พรรคชาติพัฒนาในขณะนี้มี ส.ส. 4 คน ในทางการเมือง 4 คน ก็มีอำนาจต่อรองน้อย และไม่ได้ส่งเสริมภาพความเข้มแข็งของรัฐบาล

ผศ.วันวิชิต ยังกล่าวว่า กรณีการรวมกันระหว่างพรรคเล็กกับพรรคเล็กอาจตอบโจทย์ความรู้สึกของเขา แต่การตอบโจทย์ทางการเมืองจริง คือ โอกาสในการเป็นรัฐบาล เช่น การเปิดตัวกับพรรคขนาดกลางและพรรคขนาดใหญ่จะมีทิศทางว่ามี ส.ส.ไหลเข้าไปเยอะ และมีโอกาสที่จะเป็นรัฐบาล

ขณะที่พรรคขนาดเล็กเมื่อรวมกันแล้วอาจไม่เกิดผลอะไร ในมุมมองของประชาชน นั้นอาจไม่เพียงพอที่จะไปอาสาปกป้อง ผลประโยชน์ของประชาชน หรือ นโยบายสาธารณะได้ 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

จับตา "ชาติพัฒนา-กล้า" ชูธงพันธมิตรการเมือง เตรียมแถลงวันนี้  

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง