วันนี้ (17 ต.ค.65 ) ยูนิเซฟ ออกแถลงการณ์เนื่องใน “วันขจัดความยากจนสากล” เรียกร้องประเทศไทยให้เพิ่มการลงทุนในเด็ก และเพิ่มมาตรการจัดการกับความยากจนในครอบครัวที่มีเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มครอบครัวที่ได้รับผลกระทบสูงที่สุด จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และราคาสินค้าอุปโภค - บริโภค ที่ปรับขึ้น
ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปี 2564 พบว่า อัตราความยากจนในเด็กสูงถึงร้อยละ 9.9 และสูงกว่าอัตราความยากจนเฉลี่ยของประเทศ อยู่ร้อยละ 6.3
นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า การจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ต้องอาศัยนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของเด็กๆ และคนกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะสามารถฟื้นตัวอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน
“การลงทุนในเด็ก ไม่ได้เป็นแค่ทางเลือกเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ เราไม่สามารถเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือการสนับสนุนเด็ก เพราะจริงๆ แล้วการเริ่มต้นที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทุกคน คือการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ”
ตั้งแต่ปี 2529 ประเทศไทยมีประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจนร้อยละ 67 ลดเหลือเพียงร้อยละ 6.3 ในปี 2564 ทำให้เห็นได้ชัดว่า ไทยสามารถจัดการกับความยากจนได้ แต่ต้องลงทุนและดำเนินการมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง แต่หากไม่มีการประกาศใช้มาตรการคุ้มครองทางสังคมในด้านต่างๆ อัตราความยากจนในประเทศไทยอาจต้องเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า