งานเข้าพรรคพลังประชารัฐ หลังนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ไปร้องกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ให้ตรวจสอบกรณีรับบริจาคเงินจากนายทุนจีน ที่มีข่าวพัวพันผับดังในเขตยานนาวา เปิดให้บริการโดยไม่มีใบอนุญาต และมีลูกค้าชาวจีนไปมั่วสุมดื่มกินเสพยาและเล่นการพนัน โดนตำรวจเข้าทะลายวันก่อน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
รายงานพิเศษ : ทัวร์ศูนย์เหรียญ-คาราโอเกะศูนย์เหรียญ
ใครอยู่เบื้องหลัง "ผับศูนย์เหรียญ" ทุนจีนในไทย
"สมศักดิ์" รับเสี่ยผับจีนยานนาวาบริจาคเงิน พปชร. 3 ล้าน
"ชูวิทย์" แฉผับศูนย์เหรียญทุนธุรกิจสีเทาจีนในไทย
เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับเงินบริจาคเข้าพรรคอีกครั้งหนึ่ง ของพรรคพลังประชารัฐ หลังจากก่อนหน้านี้ ถูกยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบ การจัดงานโต๊ะจีนระดมทุนเข้าพรรคเมื่อกลางเดือนธันวาคม 2561 จำนวน 200 โต๊ะ โต๊ะละ 3 ล้านบาท ได้ยอดบริจาคกว่า 650 ล้านบาท
ก่อนที่ในเวลาต่อมา พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต.ในขณะนั้น จะแจงผลสอบว่า ตรวจสอบผู้บริจาคทั้งนิติบุคคลและบุคคลกว่าร้อยรายชื่อแล้ว ไม่พบบุคคลต่างชาติร่วมบริจาคเงิน ถือว่าไม่มีความผิด และไม่เข้าข่ายถูกยุบพรรคตามมาตรา 74 พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560
คราวนี้เรื่องนายทุนจีน นายชัยณัฐ กรณ์ชายานันทน์ ที่เชื่อมโยงกับผับชื่อดังย่านยานนาวา บริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2564 วงเงิน 3 ล้านบาท
โดยที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์ของพรรคพลังประชารัฐ ยอมรับว่า เป็นหนึ่งในผู้บริจาคเงินให้พรรคจริง แต่ยืนยันไม่มีใครในพรรครู้จักเป็นการส่วนตัว
กลายเป็นประเด็นร้อนทันที เพราะผับแห่งนี้ เพิ่งถูกตำรวจเข้าทลายจับกุม เนื่องจากลักลอบเปิดบริการผิดกฎหมาย มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้าไปดื่ม และเสพยาในผับร่วม 200 คน และรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยอมรับด้วยว่า มีลักลอบเล่นการพนันด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น สถานที่ยังโอ่อ่าอลังการ มีห้องวีไอพีส่วนตัว และตรวจสอบพบรถหรูราคาแพงกว่า 30 คัน ทั้งรถปอร์เช่ รถโรลส์รอยซ์ เบนซ์ และรถตู้ อัลพาร์ด บางคันเป็นรถสวมทะเบียน เท่ากับเป็นแหล่งมัวสุมของกลุ่มธุรกิจจีนแบบสีเทาๆ
ข้อมูลจากบางหน่วยงาน ระบุด้วยว่า เกี่ยวโยงไปถึงกลุ่มมาเฟียต่างชาติแถว ๆ ภูเก็ต มีประวัติถล่มคู่แข่งทางธุรกิจทั้งสีเทา และไม่เทา ด้วยรูปแบบมาเฟียจีนดั้งเดิม เมื่อมีแกนนำเป็นผู้บริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมือง ที่เป็นแกนหลักของรัฐบาล จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ และจำเป็นต้องมีการตรวจสอบให้ชัดเจน
เช่นเดียวกับที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ตั้งปุจฉาใหญ่ไว้ 4 ข้อล้วนน่าสนใจทั้งสิ้น อาทิ แม้นายทุนจีนคนนี้ น่าจะได้สัญชาติไทยแล้ว แต่ระหว่างบริจาคเงิน ได้สละสัญชาติจีนแล้วหรือไม่
เพราะหากยังถือ 2 สัญชาติ แล้วบริจาคเงินให้พรรคการเมือง สุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายพรรคการเมืองเรื่องรับบริจาคเงิน
รวมทั้งให้ตรวจสอบว่า ผับที่ว่านี้ จัดตั้งเป็นนิติบุคคล มีใครถือหุ้น สัดส่วนเป็นเช่นไร และมีนอมินีถือหุ้นแทนหรือไม่ ทั้งต้องดูให้ลึกไปอีกว่า เงินบริจาค 3 ล้านเป็นเงินส่วนตัว หรือเงินที่ถอนมาจากนิติบุคคล ที่อาจมีนอมินีต่างชาติถือหุ้นแทน
ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ กกต.ต้องตรวจสอบหาความกระจ่าง จากพรรคพลังประชารัฐ แม้ว่าเรื่องเดิม อย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หารือตกลงกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เรื่อง “นายกฯคนละครึ่ง” แล้วหรือยัง ก็ยังค้างคา ไม่มีคำตอบเช่นเดิม
วิเคราะห์โดย : ประจักษ์ มะวงศ์สา