วันนี้ (3 พ.ย.2565) นายมนตรี สินทวิชัย หรือ ครูยุ่น เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก จ.สมุทรสงคราม เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีทำร้ายร่างกายและความผิดต่อ พ.ร.บ.แรงงาน กรณีตีเด็กและเยาวชนในมูลนิธิ พร้อมทั้งมีการใช้ทำงานต่าง ๆ ในธุรกิจรีสอร์ต โดยนายมนตรีให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมยืนยันว่า การตีเด็กในคลิปวิดีโอที่ปรากฏเกิดขึ้นภายหลังการกระทำผิดของเด็ก ๆ
โดยอ้างว่า เด็ก ๆ ลงเล่นน้ำในแม่น้ำแม่กลอง โดยในกลุ่มมีเด็กว่ายน้ำไม่เป็น ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามและเป็นอันตรายต่อชีวิต และมีบางคนยุ่งเกี่ยวยาเสพติด โดยพยายามชักชวนผู้อื่นด้วย จึงทำโทษสั่งสอนไม่ใช่เจตนาการทำร้ายทารุณ
ส่วนประเด็นการรื้อข้าวของ รื้อเสื้อผ้า รวมถึงการเทสิ่งปฏิกูลใส่เสื้อผ้าของเด็ก ตามคำที่เด็กกล่าวอ้างเล่าให้กับกลุ่มนักศึกษาจิตอาสาฟังนั้น นายมนตรี ยอมรับว่า เป็นคนรื้อเสื้อผ้าออกมากองรวมกันจริง
เสื้อผ้าที่กองรวมกันในภาพเป็นเสื้อผ้าที่ถูกสวมใส่แล้ว แต่มีเด็กบางคนที่ไม่ยอมซัก แต่กลับนำไปซุกซ่อนตามตู้ตามล็อกเกอร์ เมื่อตัวเองรู้จึงรื้อออกมาและทำโทษเด็ก โดยการให้คัดแยกนำเสื้อผ้าไปซัก เก็บพับ ให้เรียบร้อยเท่านั้น
อีกทั้งยังมีประเด็นการใช้งานเด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิให้เข้าทำงานในรีสอร์ตซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัว นายมนตรี ยืนยันว่า รีสอร์ตเป็นธุรกิจครอบครัวจริงแต่ไม่เคยว่าจ้าง หรือใช้แรงงานเด็กทำงาน
ภาพที่ปรากฏเป็นลักษณะเด็กตามไปช่วยงานบ้างก็ไปนั่งเล่นตามปกติไม่มีการจ่ายค่าจ้างหรือจำกัดเวลาบังคับทำงาน
ขณะที่ประเด็นการหักเงินค่าขนมหรือเงินไปโรงเรียน ซึ่งทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยถึงเงินบริจาคที่มูลนิธิได้รับว่าอาจจะจัดสรรไม่โปร่งใส
นายมนตรี ชี้แจงว่า การหักเงินมีจริงแต่เป็นการหักเงินเพื่อทำโทษ ซึ่งจะหักครั้งละ 5 - 10 บาท ในกรณีที่เด็กไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง เช่น ไม่ทำงานบ้านตามตารางเวนที่แบ่งหน้าที่กัน ซึ่งเงินที่ถูกหักก็จะถูกเพิ่มเติมให้กับคนอื่นที่ทำหน้าที่ของตัวเองตามกฎระเบียบไม่ได้หักแล้วเก็บไว้เอง
นายแก้วสรร อติโพธิ ประธานมูลนิธิคุ้มครองเด็ก กล่าวเพิ่มในประเด็นนี้ว่า เงินบริจาคของมูลนิธิมีบัญชีรายรับรายจ่ายชัดเจน ซึ่งตัวเองในฐานะประธานได้รับรายงานเป็นประจำทุกปีสามารถตรวจสอบได้ ส่วนเรื่องใบอนุญาตการจัดตั้งสถานสงเคราะห์เด็ก ฉบับปัจจุบันจะหมดอายุในช่วงเดือน ม.ค.2566
นายมนตรี กล่าวว่า หากภาครัฐไม่พิจารณาต่อใบอนุญาตก็จำใจต้องปิดสถานสงเคราะห์ลง แต่มูลนิธิยังสามารถดำเนินการต่อได้ เพราะคนละส่วนกันเด็กที่จะอยู่ต่อก็อยู่ได้ ส่วนที่สมัครใจกลับบ้านหรือไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่น ๆ ก็ยินดี ไม่มีจำกัดอิสรภาพ
ส่วนการดำเนินการที่ผ่านมา มีครูพี่เลี้ยงจำนวน 5 คน มีจำนวนเด็กอยู่ที่ประมาณ 50 - 60 คน ซึ่งเด็กแต่ละคนก็ต่างที่มาจากทั่วประเทศ
ยอมรับว่า การดูแลเด็กต่างที่มาต่างช่วงวัยย่อมมีนิสัยและพฤติกรรมแตกต่างกันไป ทำให้การสั่งสอนดูแลมีความแตกต่างกันไปด้วย แต่การใช้ถ้อยคำไม่สุภาพบ้าง การลงโทษด้วยการตีบ้าง ล้วนเป็นเจตนาเพื่อการสั่งสอน
สำหรับการช่วยเหลือเด็ก จนถึงขณะนี้มีเด็กและเยาวชน ที่อยู่ในความดูแลของ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวม 29 คน ด้วยกัน คือ กลุ่มแรก 8 คน และกลุ่มเมื่อวานอีก 21 คน โดยมีช่วงวัยตั้งแต่ 1 - 20 ปี
ส่วนเด็กและเยาวชนที่ยังอยู่ในมูลนิธิ อีกเกือบ 30 ปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยืนยันจะเข้ารับตัวทั้งหมด ออกมาอยู่ในความคุ้มครองสวัสดิภาพ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 โดยเร็วที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"ครูยุ่น" รับทราบข้อหาคดีทำร้ายเด็ก-ให้การปฏิเสธ
"ครูยุ่น" เตรียมเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.อัมพวา คดีทำร้ายเด็ก