วันนี้ (13 พ.ย.2565) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการเดินทางกลับจากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนระหว่างวันที่ 11-13 พ.ย.2565 ซึ่งประเทศกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ
นายกรัฐมนตรี เดินออกมา ด้วยสีหน้าแจ่มใส ยิ้มแย้ม และทักทายนักข่าวที่มารอว่ามีอะไรหรือเปล่า จากนั้นได้เล่าถึงการไปประชุม โดยระบุว่าการร่วมการประชุมในครั้งนี้ ต้องชื่นชมการจัดงานของประเทศกัมพูชาที่มีการเตรียมการอย่างยอดเยี่ยมเป็นที่พึงพอใจของผู้ที่ร่วมประชุมทุกคน ซึ่งมีการประชุมทั้งหมด 16 รายการ ซึ่งไทยก็ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นในทุกรายการ
ในที่ประชุมมีความรู้สึกว่าเป็นโอกาสของอาเซียน ซึ่งมีปัญหาร่วมกันทั้งในเรื่องผลผลิตทางการเกษตร โดยไทยได้มีการนำเสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยใช้ยุทธศาสตร์ ให้ทุกฝ่ายได้สร้างปัจจุบันได้อย่างเข้มแข็ง ก่อนที่จะยอมรับว่าเราคิดไม่เหมือนเขา แต่เราค่อนข้างที่จะมีโอกาสมากกว่า เป็นแหล่งอาหารโลก
เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือเราต้องให้ความสำคัญกับความท้าทายต่างๆที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมาเจอกับโควิด-19 วันนี้ก็มาเจอกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เราจึงต้องมีการเตรียมการรับมือทำอย่างไรให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด
ปัญหาเดียวที่เรามีคือต้นทุนแพงขึ้น แต่บางประเทศบอกผมเลยว่าไม่กล้าปลูก เกษตรกรก็ไม่กล้าปลูก เพราะมีความไม่มั่นคงสูง อันนี้เป็นการรับฟังข้อมูลกันมา ทีนี้เราก็ไปแก้ไข อย่าเอาเวลาที่ไหนไปว่ากันไปว่ากันมา ไม่ได้ประโยชน์
วันนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่หารือกัมพูชา คือการรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหลังจากโควิด แล้วก็มีเรื่องของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลก เกิดจากสงคราม
โดยนายกรัฐมนตรี ยังระบุอีกว่า ต่างประเทศก็ชมว่าไทยเดินหน้าไปได้เยอะแล้ว ก็อยากรวมพลังอาเซียนเดินไปด้วยกัน ดูแลซึ่งกันและกัน บรรยากาศของสันติภาพยึดถือหลักการของประชาคมอาเซียน ทำอย่างไรที่จะอยู่ร่วมกันอะไรที่มีปัญหา ก็พูดคุยกัน ต้องหาวิธีการแก้ไขปัญหาดีกว่าที่จะขัดแย้งกัน พร้อมกับยืนยันว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามหลักการของอาเซียน
เราก็ทำมาเยอะเหมือนกันนะ ก็ค่อยสบายใจหน่อยที่จะพูด เพราะบรรดาองค์กรระหว่างประเทศเขาก็ชื่นชมใช่ไหมพี่ดอน เขาชมเองนะชมว่าประเทศไทยเดินไปได้เยอะแล้วเพราะฉะนั้นก็อยากจะให้ไปทรงพลังอาเซียนเดินหน้าไปด้วยกันดูแลซึ่งกันและกัน
ส่วนเรื่องความขัดแย้งในประเทศเมียนมา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เน้นมนุษยธรรม หาวิธีการทำให้สงบเรียบร้อยได้โดยเร็ว และวันนี้ที่ต้องดูแลคือเรื่องความปลอดภัย ทุกคนก็ทราบดีว่ามีอยู่หลายกลุ่ม เพราะฉะนั้นเราจะต้องระมัดระวังอย่างที่สุด ในการที่จะแก้ไขปัญหาตรงนี้ ดูแลผู้ป่วยเมื่อเขาเข้ามา ก็ต้องดูแลเขา เราไม่ได้ไล่เมื่อหายเขาก็กลับเอง นี่เป็นสิ่งที่น่าเป็นกังวลอยู่เหมือนกัน
แต่ตนคิดว่าเมื่อเกิดแล้วก็ต้องจบได้ ทุกเรื่องมีแต่เราในบทบาทที่เรามีชายแดนติดกันก็ต้องระมัดระวังดูแลให้ดีที่สุดเรื่องอื่นก็เป็นเรื่องของกลไกที่ต้องดูแลกันต่อไป
ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง การเตรียมประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค ว่า ตนเชื่อมั่นว่าทุกคนทำหน้าที่ของตนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ ตนก็เห็นรองนายกรัฐมนตรีติดตามอยู่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือประชาชนต้องช่วยกัน อย่าให้เกิดปัญหาก็แล้วกัน การที่เราจะได้อะไรมาเราก็ต้องช่วยกัน วันนี้ไม่เหมาะสมที่จะทำให้เกิดปัญหาในช่วงนี้โดยเด็ดขาดก็ขอร้อง อะไรที่ดีก็ช่วยกัน อะไรไม่ดีก็เตือนกัน รัฐบาลพร้อมที่จะแก้ไข
หลังๆ ตนไม่ได้พูด ทำงาน หลายคนก็ตีความ แต่ยืนยันว่าเราไม่น้อยหน้าใครในการประชุม ขอรอผลการประชุม บ้านเมืองเราก็สวยงาม อย่าทำอะไรให้เสียหาย เห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารบ้าง ไม่มีใครอยากทำให้เกิดความรุนแรงอยู่แล้ว ตนขอร้อง งานนี้ถือเป็นงานส่งท้ายปีเก่าเป็นงานผลิดอกออกผลไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
ความท้าทายต่างๆ เมื่อมีความท้าทายเกิดขึ้นทั้งเรื่องความมั่นคงทางอาหารซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องเอาชนะให้ได้จึงจะสำเร็จและหลายอย่างจะดีขึ้น หากทำร้ายกันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรสักอย่าง ตนไม่ได้ว่าร้ายใครทุกอย่างมีประสบการณ์อยู่แล้วขอร้องแล้วกัน ขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนตนรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงเป็นใย เจ้าหน้าที่ก็เหน็ดเหนื่อยไม่มีใครอยากจะทำร้ายใครอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันในวันพรุ่งนี้นายกรัฐมนตรีจะไปดูความเรียบร้อยซ้อมโอเพนนิ่งในวันจริง ที่จะเกิดการประชุมในวันที่ 18 และ 19 พ.ย. โดยผู้ร่วมประชุมจะเดินทางมาตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. ก่อน ที่จะย้ำว่าร่วมกันเป็นเจ้าภาพที่ดี ทำบ้านเมืองเราให้สะอาด
โดยในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรี ยังปฏิเสธการตอบคำถามถึงประเด็นการเมือง โดยระบุสั้นๆ เพียงว่า เนื้อหาต่างๆ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองแต่อย่างใด ผู้สื่อข่าวถามย้ำถึงการชุมนุมที่เกิดขึ้นช่วงการประชุมเอเปค แต่นายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะตอบคำถาม ก่อนจะขึ้นรถกลับทันที
พูดไปแล้ว ไม่เกี่ยวกันการเมืองก็ไม่เกี่ยวทั้งนั้นแหละ