นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ กล่าวถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ปี 2565 โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 3.2 % หลังจากไทยกลับมาเปิดประเทศทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศมากขึ้นส่งผลให้เศรษฐกิจในไตรมาส 3 ขยายตัวได้ 4.5 %
นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะต่อเนื่องจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี อาจไม่จำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เพิ่มเติม
ทั้งนี้ มาตรการที่หลายหน่วยงานกำลังพิจารณาอยู่จะไม่ใช่มาตรการขนาดใหญ่จนกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่จะเป็นการเพิ่มการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาและเสนอคณะรัฐมนตรี
ขณะที่ กระทรวงการคลัง ได้ข้อสรุปมาตรการช้อปดีมีคืน หรือ ช้อปช่วยชาติ แล้วว่า จะให้มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงต้นปีหน้า
เช่นเดียวกับที่ดำเนินการไปเมื่อต้นปี 2565 ที่ผ่านมา โดยจะให้มีผลระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. 2566 รวม 46 วัน ทั้งนี้ คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบได้ภายในไม่เกินวันที่ 29 พ.ย.นี้
มาตรการจะเพิ่มเติมจากเดิมที่ให้นำรายจ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการที่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าวมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท แต่รอบนี้จะเพิ่มสำหรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้อีก 10,000 บาท
การดำเนินมาตรการรอบนี้ คาดว่า จะทำให้ทางกรมสรรพากรสูญเสียรายได้กว่า 8,200 ล้านบาท แต่จะทำให้เกิดเงินหมุนในระบบกว่า 56,000 ล้านบาท และน่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 0.1-0.2 %
สำหรับการดูเเลเศรษฐกิจไม่ใช่เเค่มาตรการกระตุ้นเท่านั้น สภาพัฒน์ ยังเสนอประเด็นเพื่อการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี 2566 ควรให้ความสำคัญใน 8 ด้าน เช่น การแก้ไขปัญหาหนี้สิน การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร พร้อมกับรักษาแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้า และ เฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก